วันอาทิตย์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ตลับลูกปืน

ตลับลูกปืน

        ตลับลูกปืน (Bearing) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้รองรับการหมุนของเพลา โดยตลับลูกปืนมีหน้าที่ถ่ายทอดแรงที่เกิดขึ้นจากเพลาลงไปสู่ฐานเครื่องยนต์ และลดแรงเสียดทานระหว่างผิวสัมผัส ทำให้ช่วยเพิ่มสมรรถนะของเครื่องจักรกลต่างๆ ลดการสึกหรอ แต่ตลับลูกปืนมักจะเสื่อมสภาพเร็วเนื่องจากตลับลูกปืนถือว่าเป็นจุดวิกฤตของ เครื่องมือกล
ตลับลูกปืนทำหน้าที่ลดความเสียดทานระหว่างผิวสัมผัส ทำให้สามารถลด ปริมาณพลังงานที่จำเป็นต้องใช้ในการขับเคลื่อนเครื่องจักรและเนื่องจากความเสียดทานที่ลดลง จึงช่วยเพิ่มสมรรถนะในการทำงานของเครื่องจักร ลดการสึกหรอ มีผลให้การดูแลรักษาง่ายขึ้น

การบำรุงรักษาตลับลูกปืน
ตลับลูกปืนกว่า36%ที่เสียหายก่อนกำหนด มีสาเหตุมาจากการหล่อลื่นที่ไม่ถูกต้อง จาระบีสารพัดประโยชน์ไม่เพียงพอต่อความต้องการเฉพาะของตลับลูกปืน ในเครื่องจักรแต่ละแบบและจะทำให้เกิดปัญหามากกว่าจะเป็นประโยชน์ ตลับลูกปืนมีสภาพการทำงานที่หลากหลายและการหล่อลื่นที่ถูกต้อง จำเป็นต้องใช้จาระบีเฉพาะของงาน
               ในขณะที่ตลับลูกปืนทำงาน จำเป็นจะต้องเติมสารหล่อลื่นเพิ่ม การเลือกใช้จาระบีและการเติมด้วยปริมาณที่ไม่ถูกต้องจะส่งผลต่ออายุการทำงานของตลับลูกปืน นอกจากนี้วิธีการเติมที่ถูกต้องจะช่วยยืดอายุตลับลูกปืนได้
                หน้าที่หลักของการหล่อลื่นตลับลูกปืน คือ การเน้นไปที่การป้องกันการสัมผัสกันของโลหะระหว่างเม็ดลูกกลิ้งและรางวิ่ง ก็เพื่อที่จะลดแรงเสียดทานและป้องกันการสึกหรอ หน้าที่รองของสารหล่อลื่น คือ การปกป้องตลับลูกปืนจากการกัด
กร่อนและสิ่งปนเปื้อนภายนอก

การหล่อลื่นด้วยน้ำมัน
               มีตลับลูกปืนน้อยกว่า 20% หล่อลื่นด้วยน้ำมัน เราจะไม่เน้นไปที่การหล่อลื่นวิธีนี้ นอกจากนี้ การหล่อลื่นด้วยน้ำมัน
เป็นเรื่องที่ไม่ซับซ้อน คุณสมบัติที่สำคัญในการเลือกใช้น้ำมันหล่อลื่นคือ ความหนืดและชนิดของน้ำมัน
               การหล่อลื่นควรใช้น้ำมันหล่อลื่นชนิดที่เหมาะสมกับความต้องการและมีปริมาณน้ำมันหล่อลื่นที่เพียงพอ ห้องเครื่องของเพลางานควรได้รับการตรวจสอบคุณภาพและปริมาณของน้ำมันหล่อลื่นที่มีอยู่ในห้องเครื่องตามคำแนะนำของผู้ผลิตเครื่องมือกลอยู่เสมอ เครื่องมือกลควรจัดวางให้อยู่ในสถานที่ที่เหมาะสมและปราศจากฝุ่นละออง หรือจัดหาสิ่งที่ป้องกันเมื่อจำเป็น
               การเลือกใช้น้ำมันจะขึ้นอยู่กับความหนืดที่ต้องใช้ในการหล่อลื่นที่เพียงพอแก่ตลับลูกปืนที่อุณหภูมิ น้ำมันหล่อลื่น
พื้นฐานโดยทั่วไปแบ่งเป็น 3 ชนิด ได้แก่
    น้ำมันแร่ ( 90%)
    น้ำมันสังเคราะห์ ( 10%)
    น้ำมันจากสัตว์และพืช ( <1%)

               โดยทั่วไปน้ำมันแร่เหมาะสมต่อการใช้งาน แต่ในบางกรณี น้ำมันชนิดอื่นมีความเหมาะสมมากกว่า น้ำมันจะต้องปราศจากสิ่งปนเปื้อนและทนต่อปฏิกิริยากับอากาศ(ออกซิเดชั่น) การเกิดยางเหนียว และ การเสื่อมสภาพจากการระเหยตัว

      เอกภัณฑ์อะหลั่ย จำหน่ายตลับลูกปืน พวงมาลัย ลูกปืนตุ๊กตา ลูกปืนเกียร์ ลูกปืนคลัช ลูกปืนเข็ม ลูกปืนกรงนก NSK, SKF, KOYO, NACHI, TIMKEN, NTN, URB ของแท้คุณภาพดี    
http://akp-auto.lnwshop.com/product/39/bearing สั่งสินค้าออนไลน์ 

 โทร 038-443084
 

วันศุกร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2556

กรองน้ำมันเครื่อง

กรองน้ำมันเครื่อง

       กรองน้ำมันเครื่อง ทำหน้าที่กรองสิ่งสกปรกหรือเศษโลหะ เพื่อให้มีน้ำมันเครื่องที่สะอาดไหลเวียนอยู่ตลอดเวลา โดยมีทั้งแบบ ตะแกรง ไส้ฝอยโลหะ และไส้กระดาษใยสังเคราะห์พับซิกแซก ซึ่งแบบสุดท้ายได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะมีประสิทธิภาพในการกรองสูงและราคาไม่แพง
ไส้กรองน้ำมันเครื่องนับเป็นผลิตภัณฑ์หนึ่งที่สามารถ เลือกใช้ได้ทั้งของแท้ ของคุณภาพเทียบเท่า หรือของเทียมก็ใช้ได้ เพราะผู้ผลิตรถยนต์ก็มักไม่ได้ผลิตเอง แต่จะสั่งจากผู้ผลิตรายย่อยมาอีกต่อหนึ่ง โดยในตลาดอะไหล่ก็มีไส้กรองน้ำมันเครื่องสารพัดชนิด ให้เทียบได้ทั้งคุณภาพและราคา บางยี่ห้อคุณภาพเท่าหรือเหนือกว่าไส้กรองน้ำมันเครื่ องแท้แต่ราคาถูกกว่า หรือคุณภาพต่ำกว่ามากก็มี จึงต้องเลือกอย่างรอบคอบ 
        สำหรับอายุการใช้งานของไส้กรองน้ำมันเครื่องอยู่ที่ 8,000-10,000 กิโลเมตร (หรือนานกว่านั้นในไส้กรองน้ำมันเครื่องแบบพิเศษ) แต่ในการใช้งานจริง มักถือโอกาสเปลี่ยนพร้อมกับน้ำมันเครื่องไปเลย ถ้าอยากประหยัดก็สามารถใช้ไส้กรองน้ำมันเครื่องตามกำหนดได้ แต่ต้องถอดออกมาเทน้ำมันเครื่องเก่าทิ้งในครั้งที่เป ลี่ยนน้ำมันเครื่อง แต่ไส้กรองน้ำมันเครื่องยังไม่หมดอายุจึงใส่กลับเข้า ไปเหมือนเดิมรออายุการใช้งานมาถึงค่อยเปลี่ยน การละเลยทั้งการเลือกใช้และการเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง แม้ไม่มีผลชัดเจนในการทำให้เครื่องยนต์พังทันที แต่ในระยะสั้นมีผลต่อกำลังของเครื่องยนต์บ้าง และระยะยาวก็ทำให้เครื่องยนต์มีอายุการใช้งานสั้นลงแ น่นอนครับ




สนใจสินค้า โทร 038-443084

วันพฤหัสบดีที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2556

น้ำมันเบรค

น้ำมันเบรค
น้ำมันเบรคที่จะใช้ในระบบเบรคก็เป็นปัจจัยสำคัญอีกสิ่งหนึ่งที่จะให้ความมั่นใจกับผู้ขับขี่ทุกครั้งที่มีการเหยียบเบรค
น้ำมันเบรค คือของเหลวที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการถ่ายทอดกำลังโดยของเหลว
หรือเรียกว่าเป็นตัวไฮดรอลิกก็ได้
เมื่อเราเหยียบเบรคที่แป้นเบรค แรงดันที่เหยียบจะถูกถ่ายทอดผ่านของเหลว (น้ำมันเบรค) ในระบบ
ไปยังห้ามล้อทั้ง 4 ล้อ ซึ่งจะทำให้ความเร็วของรถช้าลง หรือหยุดตามแรงกดที่ต้องการ

น้ำมันเบรคที่ดีนอกจากจะเป็นตัวกลางถ่ายทอดกำลัง (ไฮดรอลิก) จากแป้นเหยียบเบรคแล้ว
ยังต้องมีคุณสมบัติอื่นๆ อีกดังนี้
 เป็นตัวหล่อลื่นส่วนต่างๆ ในระบบเบรค เช่น แม่ปั๊มเบรคและลูกปั๊มเบรค
เนื่องจากต้องมีการเสียดสีของลูกสูบเบรค ลูกยางเบรค ภายในแม่ปั๊มเบรค ลูกปั๊มเบรค นับครั้งไม่ถ้วน
ถ้าปราศจากการหล่อลื่นก็จะทำให้เกิดการสึกหรอ เกิดการรั่วภายหลังได้

มีความหนืดที่เหมาะสม ซึ่งหมายความว่าสามารถใช้ได้ในอุณหภูมิต่างๆ ไม่ว่าร้อนหรือเย็น
มีความหนืดที่ยืดหยุ่นได้ ไม่ข้นเกินไปแม้ว่าจะใช้ในอุณหภูมิติดลบ

ไม่เป็นอันตรายต่อชิ้นส่วนที่เป็นโลหะในระบบหรือลูกยางต่างๆ
เนื่องจากระบบเบรคเป็นระบบความปลอดภัยที่สำคัญ
ถ้าการทำงานของชิ้นส่วนต่างๆ ในส่วนของไฮดรอลิกบกพร่องจะเกิดอันตรายอย่างยิ่ง
ไม่ว่าจะเป็นสนิมในระบบสร้างแรงดัน หรือลูกยางเสื่อมสภาพ

มีจุดเดือดสูงและไม่ระเหยได้ง่าย
คุณสมบัตินี้ถือว่าเป็นส่วนสำคัญที่เป็นตัวบอกว่า น้ำมันเบรคยังคงมีสภาพใช้งานได้อยู่หรือไม่
จุดเดือดสูงก็จะเสื่อมสภาพได้ยากกว่า และทนต่อแรงดันจากการที่เหยียบแรงๆ ต่อเนื่องได้เป็นอย่างดี

คงสภาพได้นาน หมายถึงรักษาคุณสมบัติต่างๆ ได้นานไม่ว่าจะมีผลกระทบจากสิ่งแวดล้อมธรรมชาติ
เช่นเรื่องของความชื้น หรือเกิดจากการใช้งานปกติ
มาตรฐานด้านความปลอดภัยได้กำหนดชื่อมาตรฐานสำหรับน้ำมันเบรคว่า
DOT (Department of Transportation) ที่เรียกจนติดปาก
โดยกำหนดจุดเดือดของน้ำมันเบรก DOT3 ไม่ต่ำกว่า 205 องศาเซลเซียส
DOT4 ไม่ต่ำกว่า 230 องศาเซลเซียส DOT5 260 องศาเซลเซียส

สำคัญอย่างไร
จากคุณสมบัติของน้ำมันเบรคจะเห็นได้ว่า จุดเดือดของน้ำมันเบรคเป็นสิ่งสำคัญ
เนื่องจากเวลาเราเหยียบเบรคที่ความเร็วสูงหรือบรรทุกหนัก อุณหภูมิที่ผ้าเบรคและจานเบรคจะสูงมาก
ความร้อนดังกล่าวจะถ่ายเทมายังน้ำมันเบรคด้วย
ถ้าน้ำมันเบรคมีจุดเดือดต่ำจะสามารถระเหยและกลายเป็นไอได้
เมื่อเป็นเช่นนั้นมันก็ไม่สามารถทำหน้าที่เป็นตัวกลางถ่ายทอดกำลัง
หรือทำหน้าที่ไฮดรอลิกในระบบเบรคได้ จะทำให้เกิดเบรคไม่อยู่ เบรคจมหรือเรียกว่าเบรคแตก


ยกตัวอย่างการขับขี่ที่ใช้เบรคมากกว่าปกติ นั่นคือการใช้เบรคขณะลงเขา
กรณีดังกล่าวอาจเกิดขึ้นได้ถ้าผู้ขับขี่ไม่ระวัง หรือใช้เบรคมากจนเกินไป
การลงเขาที่ถูกต้องนั้น ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นได้ว่าข้างทางจะมีป้ายเตือนให้ผู้ขับรถใช้เกียร์ต่ำ
ดังนั้นการใช้เกียร์ต่ำ ก็คือการให้เครื่องยนต์เป็นตัวช่วยในการเบรคนั่นเอง (Engine Brake)
การทำดังกล่าวจะเป็นการช่วยลดภาระของระบบเบรคได้มากทีเดียว

การใช้เกียร์ต่ำคือการลดเกียร์ลง เช่นกรณีใช้เกียร์สี่อยู่ก็ให้ลดมาที่เกียร์สามหรือเกียร์สอง
ถ้าสังเกตดูจะเห็นว่าเวลาลดเกียร์ รอบเครื่องยนต์จะสูงขึ้น นั่นก็คือการใช้เครื่องยนต์เป็นตัวช่วยเบรค
การทำดังกล่าวก็สามารถทำกับเกียร์อัตโนมัติได้เช่นกัน โดยดึงคันเกียร์จาก D มาที่ 3 หรือ 2
แล้วปล่อยให้เครื่องยนต์ฉุดรั้งไว้ พร้อมทั้งเหยียบเบรคช่วย จะทำให้อุณหภูมิเบรคไม่ร้อนจนเกินไป


สำหรับท่านที่ใช้เบรคมากเกินไปจนรู้สึกว่าเบรคไม่อยู่ หรือได้กลิ่นไหม้จากการเบรค
ให้รีบจอดรถข้างทาง รอจนกว่าเบรคจะเย็นหรือประมาณ 30 นาทีเป็นอย่างน้อย
ลองทดสอบเบรคดู ถ้าเบรคอยู่แล้ว ให้ค่อยๆ ขับต่อโดยขับช้าๆ พร้อมใช้เกียร์ต่ำ และเบรคเท่าที่จำเป็น
การขับรถช้าๆ ความเร็วของรถจะไม่สูง ดังนั้นการใช้เบรคก็จะน้อยตามไปด้วย

 ทำไมต้องเปลี่ยน
จากตัวอย่างการเกิดเบรคจมหรือเบรคไม่อยู่ขณะลงทางชันหรือลงจากเขา
ส่วนหนึ่งมาจากน้ำมันเบรคไม่สามารถทนความร้อน จากการเบรคในลักษณะการขับขี่ที่ไม่ถูกต้อง
หรือน้ำมันเบรคเสื่อมสภาพ (จุดเดือดต่ำลง)

ดังนั้นการที่ต้องทำให้น้ำมันเบรคมีจุดเดือดสูงนั้น
เนื่องจากว่าสารเคมีในน้ำมันเบรคมีคุณสมบัติดูดซับความชื้น
ยิ่งในเขตที่มีความชื้นสูงอย่างประเทศไทย ความชื้นยิ่งมีโอกาสแทรกไปปนอยู่ในน้ำมันเบรคได้ง่ายขึ้น
โดยจะทำให้จุดเดือดของน้ำมันเบรคลดลงตามลำดับ
ดังนั้นคุณสมบัติของน้ำมันเบรคจึงควรมีจุดเดือดสูงไว้ตั้งแต่แรก
ได้เคยมีผู้ทดลองไว้ว่าภายในระยะ 12-15 เดือน น้ำมันเบรคสามารถดูดซับความชื้น
ทำให้จุดเดือดลดลงเหลือประมาณ 140 องศาหรือต่ำกว่า
ซึ่งถ้าหากใช้ต่อไป อาจก่อให้เกิดอันตรายหรือไม่ปลอดภัยต่อผู้ขับขี่ได้
อีกอย่างหนึ่งคือเมื่อมีการดูดซับความชื้นเข้าไปในระบบ (มีน้ำเข้าไป)
ก็จะทำให้เกิดสนิมได้เมื่อใช้ไปนานๆ

บางครั้งเมื่อเราเจอปัญหาเรื่องเบรคไม่อยู่หรือรั่ว ช่างก็จะถอดแม่ปั๊มเบรคออกมาดู
จะพบว่าลูกยางตาย เสื่อมสภาพ กระบอกสูบของแม่ปั๊มเบรคเป็นสนิมหรือตามด
ถ้าเกิดสนิมตามดเล็กน้อยก็สามารถใช้กระดาษลูบแก้ไข แต่ถ้ากินจนเนื้อหายก็ต้องเปลี่ยนทั้งแม่ปั๊ม
ท่านเจ้าของรถหลายท่าน รวมถึงช่างบางคนก็ยังไม่รู้ว่าสนิมเหล่านั้นมาได้อย่างไร


ปัจจุบันมีเครื่องวัดคุณภาพของน้ำมันเบรค
ว่าน้ำมันเบรคที่เราใช้อยู่นั้น ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ยังสามารถใช้งานได้อยู่ หรืออยู่ในส่วนที่เป็นอันตรายแล้ว
การวัดดังกล่าวใช้เวลาสั้นมากเพียงแค่ 2-3 วินาทีก็สามารถรู้ได้ว่า น้ำมันเบรคเสื่อมสภาพแล้วหรือยัง
การวัดสภาพน้ำมันเบรค สามารถปรับตั้งค่าการวัดที่ตัววัดสภาพน้ำมันเบรคได้
เนื่องจากคุณภาพน้ำมันเบรค เกรดน้ำมันเบรคแตกต่างกัน (DOT) แล้วแต่ผู้ให้บริการ
หรือศูนย์บริการซ่อมเลือกใช้


การวัดจากเครื่องวัดจะบอกเป็นตัวเลขและสภาพไปพร้อมๆ กัน ตัวอย่างเช่น
เลข “0” หมายถึง น้ำมันเบรคใหม่ (new oil)
เลข “1-2” น้ำมันเบรคปกติ (Normal)
เลข “3-4” ควรเปลี่ยน (Change)
เลข “5-6” อันตราย (Danger)



การเลือกเกรดน้ำมันเบรค ปัจจุบันก็มีให้เลือกหลายยี่ห้อตามแต่จะเลือกใช้
ส่วนใหญ่ก็จะเลือกใช้ยี่ห้อเดิม หรือตามที่ศูนย์บริการเปลี่ยนให้ โดยส่วนใหญ่จะใช้ DOT4
สามารถดูได้ข้างกระป๋องว่าที่เราใช้อยู่นั้นเป็นเกรดหรือ DOT อะไร
การเลือกใช้น้ำมันเบรคที่มี DOT สูงกว่าไม่เป็นการผิดแต่อย่างใด แต่จะมีค่าตัวสูงกว่าเดิมเล็กน้อย
การเปลี่ยนยี่ห้อน้ำมันจากที่เราเคยใช้อยู่นั้น ควรถ่ายของเดิมทิ้งให้หมด
แล้วเลือกเติมตามที่เราต้องการ แต่ควรเป็น DOT ที่เท่ากันหรือสูงกว่าเท่านั้น


ดังนั้น ผู้ใช้รถควรหมั่นตรวจสอบ และเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเบรคตามระยะที่กำหนด
โดยเฉพาะผู้ที่ขับรถด้วยความเร็วสูง ผู้ที่บรรทุกหนักหรือวิ่งทางลาดชันบ่อยๆ
และใช้งานเบรคหนักต่อเนื่องบ่อย ควรเปลี่ยนน้ำมันเบรคทุกๆ 1 ปี

ถ้าไม่แน่ใจก็ให้สอบถามตามศูนย์บริการมาตรฐานทั่วไป
โดยระยะเวลาหรือระยะทางของแต่ละบริษัท อาจแตกต่างกันไปบ้าง แต่ก็เป็นพื้นฐานใกล้เคียงกัน


Cradit : http://www.one2car.com



 เอกภัณฑ์อะหลั่ย จำหน่ายน้ำมันเบรค  เชลล์, โมบิล, โตโยต้า, เอเต้
สนใจ โทร 038-443084