วันจันทร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2557

น้ำมันไฮดรอลิก

น้ำมันไฮดรอลิค

      น้ำมันไฮโดรลิคจะทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการถ่ายทอดแรงไปยังส่วนต่าง ๆ ของระบบไฮดรอลิค ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับงานถ่ายทอดกำลัง ตลอดจนทำหน้าที่เป็นซีล ป้องกันการรั่วไหลของระบบ ซึ่งจะทำให้อัตราการไหล หรือความดันของระบบลดลง (Leakage Flow Rate) และช่วยระบายความร้อนโดยทั่วไประบบไฮโดรลิค มีส่วนประกอบที่สำคัญ เช่น ปั๊มสำหรับอัดน้ำมัน ไฮดรอลิคให้มีแรงดันสูงขึ้น วาล์วหรืออุปกรณ์สำหรับควบคุมแรงดัน ทิศทางและปริมาณการไหลของน้ำมันไฮดรอลิค รวมทั้งชุดลูกสูบ และกระบอกสูบ ปัจจุบันระบบไฮโดรลิค เป็นแบบ Hybrid คือ มีทั้งระบบใบพัดและลูกสูบ ( Vane Pump & Piston Pump) การพัฒนาคุณสมบัติของน้ำมันไฮโดรลิค จำเป็นต้องทำให้น้ำมันไฮโดรลิคสามารถทนต่อสภาวะงานที่มีแรงดันสูง และอุณหภูมิสูงได้ ในระบบรถยนต์ต้องตอบสนองต่อประสิทธิภาพการขับขี่ที่สูงขึ้น คุณสมบัติที่ดีของน้ำมันไฮดรอลิค คือต้องทนต่อแรงกดได้ดีคือมีค่าOil Stress Index สูง มีสารป้องกันการเกิดฟอง (Antifoam) ทนความร้อน ป้องกันปฎิกิริยา ออกซิเดชั่น (Thermal – Oxidation Stability) ป้องกันสนิมและการกัดกร่อน ( Wear Protection & Corrosion Inhibitor) ภายใต้สภาวะการทำงานที่รุนแรง จะต้องสามารถป้องกันการสึกหรอของชิ้นส่วนนอกจากนี้ยังต้องแยกตัวออกจากน้ำได้ดี หรือ เมื่อปนด้วยน้ำก็ยังคงสมรรถนะที่ดีไว้ (Hydrolytic Stability) การผลิตน้ำมันไฮโดรลิคจะใช้น้ำมันพื้นฐานประเภทน้ำมันแร่ที่มีค่าดัชนี ความหนืดสูง (High Viscosity Index ) หรือ High Iso Viscosity Fluid แต่ ต้องไม่มีปัญหาของการไหลที่อุณหภูมิต่ำ ต้องระวังในเรื่อง Leakage รักษาระดับความดัน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของลูกสูบในระบบไฮโดรลิคด้วย (Piston Pump Efficiency) สำหรับการใช้สารเติมแต่ง เช่น Antiwear เดิมจะใช้ประเภทที่มีองค็ประกอบเป็นโลหะหนัก แต่เมื่อใช้งานที่อุณหภูมิสูง จะรวมกับกำมะถันในน้ำมันพื้นฐาน อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง ทำให้น้ำมันไฮโดรลิคไม่ทนความร้อน และแตกตัวง่าย เสียสภาพ ปัจจุบันจึงมีการพัฒนา และใช้สารเติมแต่งประเภท ประเภท Ashless ซึ่งประกอบด้วยโลหะน้อยลง เพื่อลดปัญหาดังกล่าว

  ระบบไฮดรอลิค คือ การใช้ของเหลวภายใต้แรงดันสูงๆ เพื่อส่งถ่ายกำลังจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งและในเวลาเดียวกันก็จะให้แรงเป็นเท่าทวีคูณด้วย ใช้กันแพร่หลายทั้งในอุตสาหกรรมและยานยนต์

 ของเหลวไฮดรอลิค
    1. น้ำ
    2. น้ำมันปิโตรเลียม
   3. ของเหลวอื่นๆ (สังเคราะห์)

คุณสมบัติของน้ำมันไฮดรอลิค
 1. ความหนืดพอเหมาะ และดัชนีความหนืดสูง
 2. มีจุดข้นแข็งต่ำ (Pour Point)
 3. คุณภาพของน้ำมันจะต้องไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงถึงแม้อุณหภูมิในการทำงานจะสูง
 4. มีคุณภาพการหล่อลื่นที่ดี และไม่ทำปฏิกิริยากับยาง ซีล ปะเก็น และสี
 5. ต้านทานการเกิดออกซิเดชั่นได้ดีเยี่ยม
 6. ต้านทานการเกิดสนิม
 7. ต้านทานการเกิดฟอง
 8. มีความสามารถในการแยกตัวจากน้ำได้ดี
 9. มีความสามารถในการอัดตัวต่ำ
 10. ไม่จับตัวเป็นก้อนหรือยางเหนียว

ชนิดของน้ำมันไฮดรอลิก
 1. น้ำมันปิโตรเลียม
  1.1 น้ำมันไฮดรอลิกทั่วไป (HYDRAULIC AW)
  1.2 น้ำมันเทอร์ไบน์
  1.3 น้ำมันไฮดรอลิกชนิดพิเศษ (HYDRAULIC  HVI)
  1.4 น้ำมันเครื่องเบอร์ SAE 10W หรือ SAE 30

2. น้ำมันทนไฟ
  2.1 ประเภทผลิตจากสารเคมีสังเคราะห์ (Synthetic Fluids)
  2.2 ประเภทน้ำมันที่มีน้ำผสมอยู่ (Water Containing Fluids)


เอกภัณฑ์อะหลั่ย จำหน่ายน้ำมันไฮดรอลิค PTT  32, 68
สนใจสินค้า โทร 038 443084

วันอาทิตย์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ดูแลเครื่องยนต์ให้อยู่นาน ต้องรู้จักกรองอากาศ

ไส้กรองอากาศมีประโยชน์อะไร

เชื่อว่ายังมีเจ้าของอีกจำนวนไม่น้อย ที่ไม่ค่อยจะได้สนใจหรือใส่ใจกับเจ้าตัวกรองอากาศมากเท่าที่ควร ทั้ง ๆ ที่ตัวกรองอากาศนั้นจะมีผลต่อประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ และมีผลต่ออัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง

          เครื่องยนต์ที่ใช้งานกันอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเบนชินหรือดีเซลก็ตาม การเผาไหม้จำเป็นต้องอาศัยออกซิเจนเข้าไปผสมกับเชื้อเพลิง จึงจะสามารถจุดระเบิดได้ สำหรับออกซิเจนที่ได้นี้ก็มาจากอากาศทั่วไปนี่แหละซึ่งได้มาฟรีไม่ต้องซื้อหากัน แต่อากาศที่มีอยู่โดยเฉพาะตามท้องถนน จะมีฝุ่นละอองและสิ่งสกปรกปะปนอยู่เป็นจำนวนมาก ดังนั้นเพื่อป้องกันฝุ่นละอองและสิ่งสกปรกถูกดูดเข้าไปในเครื่องยนต์ จึงจำเป็นต้องมีหม้อกรองอากาศมาคอยดักเอาไว้ก่อน



หน้าที่และความสำคัญของไส้กรองอากาศ
          ตัวกรองอากาศมีหน้าที่และความสำคัญมากยิ่งนัก ชนิดที่หากไม่มีแล้วสามารถทำให้เครื่องยนต์อายุสั้นอย่างคาดไม่ถึงเลยทีเดียว

          สำหรับรถยนต์หม้อกรองอากาศแม้จะดูธรรมดา แต่ความจริงเป็นส่วนประกอบที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง ที่จำเป็นต้องติดตั้งหม้อกรองอากาศเอาไว้ก่อนท่อร่วมไอดี หรือก่อนคาร์บูเรเตอร์ในรถรุ่นเก่า เพื่อให้ทำหน้าที่ดักกรองเอาฝุ่นละออง และสิ่งสกปรกที่ปะปนอยู่ในอากาศไว้ ทำให้อากาศที่เข้าไปในเครื่องยนต์หรือผ่านคาร์บูเรเตอร์ ปราศจากฝุ่นละอองและสิ่งสกปรก

          ถ้าหากไม่มีเจ้าตัวกรองอากาศซะแล้ว ฝุ่นละอองและสิ่งสกปรกก็สามารถปะปนเข้าไปในเครื่องยนต์ได้คราวนี้ก็เกิดผลอยู่หลายประการ

          ทำให้เครื่องยนต์มีอายุสั้น
          พวกฝุ่นละอองที่ลอยปะปนอยู่ในอากาศ ส่วนหนึ่งจะเป็นฝุ่นผงหรือเม็ดทรายละเอียดที่มีความแข็ง เมื่อหลุดเข้าไปในห้องเผาไหม้ ก็จะไปเกาะอยู่ตามร่องแหวนและผนังกระบอกสูบ ส่วนที่เป็นผงสกปรกอย่างพวกคราบเขม่าหรือคาร์บอน ก็จะทำให้น้ำมันเครื่องดำและสกปรกเร็วขึ้น น้ำมันเครื่องจะเสื่อมคุณภาพเร็วกว่าปกติ ทำให้ขึ้นส่วนต่าง ๆ ของเครื่องยนต์ที่มีน้ำมันหล่อลื่นเกิดการสึกหรอมากขึ้น โดยเฉพาะฝุ่นละอองที่เกาะอยู่ตามแหวนลูกสูบและผนังกระบอกสูบ ก็เปรียบเสมือนผงทรายที่จะขัดถูทำให้แหวนและกระบอกสูบสึกหรอเร็วขึ้น อย่างปกติรถสามารถใช้งานได้หลายแสนกิโลเมตรกว่าเครื่องจะหลวม แต่ถ้าไม่ใส่ไส้กรองอากาศวิ่ง ประมาณห้าหมื่นกิโลเครื่องก็เริ่มหลวมต้องยกเครื่องกันแล้ว

การทำงานของเครื่องยนต์มีปัญหา
          
          พวกรถรุ่นเก่าที่ใช้คาร์บูเรเตอร์เป็นตัวจ่ายเชื้อเพลิง หากไม่มีไส้กรองอากาศ หรือใช้ไส้กรองอากาศที่ไม่มีคุณภาพพอ ทำให้ฝุ่นละอองและสิ่งสกปรกเข้าไปในตัวคาร์บูเรเตอร์ ก็จะเกิดการอุดตันของท่อทางเดินอากาศในคาร์บูเรเตอร์ มีผลกับการจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงไม่สมบูรณ์ ก็เกิดปัญหากับการทำงานของเครื่องยนต์ เช่น เบาดับ เร่งไม่ขึ้น หรือมีอาการกระตุก

          ส่วนรถรุ่นใหม่ที่ใช้ระบบหัวฉีด พวกสิ่งสกปรกที่ผ่านเข้าไปกับอากาศเข้าเครื่องยนต์ จะไปเกาะกับตัววัดปริมาณอากาศทำให้เกิดสกปรกการให้ข้อมูลจึงผิดพลาด การสั่งจ่ายน้ำมันก็ไม่ถูกต้องกับความเป็นจริงประสิทธิภาพเครื่องยนต์ก็มีปัญหาแถมอัตราสิ้นเปลืองก็จะเพิ่มขึ้นด้วย หรือไปเกาะที่เซ็นเซอร์ลิ้นปีกผีเสื้อ ทำให้สกปรก การทำงานของลิ้นปีก จึงไม่ถูกต้องเหมาะสม มีปัญหากับการทำงานของเครื่องยนต์ และที่เกิดผลมากที่สุดคือสิ่งสกปรกที่ติดมากับอากาศ จะเข้าไปเกาะอยู่ที่ตัว ISC ควบคุมรอบเดินเบา การทำงานจึงติดขัดมีปัญหากับรอบเดินเบา หรือเกิดการกัดกร่อนตัว ISC ทำให้ชำรุดเสียหาย

          หน้าที่ของไส้กรองอากาศอีกประการ คือลดเสียงการดูดอากาศของเครื่องยนต์ ทำให้เครื่องยนต์มีการทำงานที่เงียบขึ้นไม่รบกวนผู้ขับขี่และผู้โดยสาร

          ควบดูแลรักษากันบ้างไส้กรองอากาศก็ต้องดูมีการดูแลรักษากันบ้าง มิฉะนั้นก็จะเกิดผลเสียต่อเครื่องยนต์ได้มากเลย

          ตามปกติเครื่องยนต์ที่ใช้กับรถต้องการอากาศเพื่อใช้ในการเผาไหม้ ภายในกระบอกสูบเป็นจำนวนไม่น้อยเลย โดยทั่วไปก็ประมาณนาทีละ 100 ถึง 290 ลบ.ฟุต ดังนั้นไส้กรองอากาศ จึงถือว่ามีความจำเป็น ในการสกัดกั้นฝุ่นละอองและสิ่งสกปรกที่ปะปนมากับอากาศเอาไว้ ไม่ให้ผ่านเข้าไปในเครื่องยนต์ ดังนั้นเมื่อใช้ไปนานเข้าที่ไส้กรองอากาศจะมีฝุ่นละอองสิ่งสกปรกอัดติดอยู่อย่างมากมาย ทำให้เกิดการอุดตันจนกระทั่งอากาศไม่สามารถผ่านเข้าไปได้สะดวกและมีปริมาณน้อยเท่าที่ควร จึงจำเป็นต้องนำไส้กรองอากาศมาทำความสะอาด หรือเปลี่ยนไส้กรองอากาศอันใหม่ เพื่อให้อากาศสามารถผ่านเข้าไปในห้องเผาไหม้ได้สะดวกกรวดเร็วและมีปริมาณมาก ซึ่งจะมีผลต่อประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ และอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงด้วย หากเราปล่อยให้ไส้กรองสกปรกประกอบไปด้วยฝุ่นละอองสิ่งสกปรกติดอยู่ที่กระดาษกรอง สิ่งสกปรกจะถูกดูและดันเข้าไปตามรูขงกระดาษกรองเรื่อย ๆ จนกระทั่งอาจทะลุไปอีกด้านหนึ่งของกระดาษกรอง แล้วหลุดเข้าไปก่อความเสียหายให้กับขึ้นส่วนของเครื่องยนต์

          ปกติเราควรทำความสะอาดไส้กรองอากาศประมาณ 2,000-5,000 กม.ต่อครั้ง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสถานที่ใช้งานว่าอากาศมีฝุ่นละอองหรือสกปรกมากน้อยขนาดไหน และการใช้งานเป็นอย่างไร หากใช้งานในเมือง 2,000-3,000 กม. ก็สมควรถอดออกมาทำความสะอาดแล้ว แต่ถ้าเป็นการเดินทางในเส้นทางที่ไม่มีฝุ่นมากมายนัก ระยะทางอาจยืดเป็น 5,000 กม. ค่อยทำความสะอาดก็ได้ อย่างไรก็ตามให้ดูจากคู่มือประจำรถเป็นหลัก ซึ่งจะบ่งบอกว่าควรทำความสะอาดเมื่อไหร่ และควรเปลี่ยนไส้กรองอากาศอันใหม่เมื่อใด

          ไส้กรองอากาศมีหลายประเภท
          ไส้กรองอากาศมีหลายประเภทหลายแบบ แต่ปัจจุบันนิยมใช้แบบกระดาษกรอง เพราะสะดวกต่อการทำความสะอาดหรือเปลี่ยนใหม่ และสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก คือ ไส้กรองอากาศแบบเปียกและไส้กรองอากาศแบบแห้ง

ไส้กรองอากาศแบบเปียก

          ไส้กรองอากาศแบบเปียกจะถือว่าเป็นของโบราณก็ได้ เพราะปัจจุบันไม่เห็นรถรุ่นใหม่ใช้กันแล้ว ลักษณะคือไส้กรองจะใช้ชุบหรือแช่อยู่ในน้ำมันเครื่องบรรดาสิ่งสกปรกจะเกาะติดอยู่กับน้ำมันเครื่อง การทำความสะอาดก็คือการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องที่ไส้กรอง รถที่ใช้ไส้กรองแบบเปียกได้แก่พวกรถโฟล์คหรือรถเบนซ์รุ่นเก่า

ไส้กรองอากาศแบบแห้ง

          ไส้กรองอากาศแบบแห้งจะนิยมใช้งานกันมากที่สุด ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ ไส้กรองอากาศแบบธรรมดา และไส้กรองอากาศแบบเคลือบน้ำยา เพื่อให้น้ำยาเป็นตัวจับฝุ่นละอองสิ่งสกปรกที่ปะปนอยู่ในอากาศได้ดียิ่งขึ้น ลักษณะการทำงานก็จะคล้ายกับไส้กรองอากาศแบบเปียกนั่นเอง แต่ลักษณะและโครงสร้างจะต่างกัน

          พวกไส้กรองอากาศแบบแห้งนั้นสมัยที่ใช้คาร์บูเรเตอร์เป็นตัวป้อนเชื้อเพลิง ตัวหม้อกรองอากาศจะอยู่เหนือคาร์บูเรเตอร์ การถอดไส้กรองออกมาทำความสะอาดเป็นเรื่องง่าย แทบไม่ต้องใช้เครื่องมืออะไรเป็นพิเศษ อย่างมากก็ใช้ไขควงช่วงงัดตัวล็อก หรือนิ้วแข็งพอก็สามารถใช้มือธรรมดาเปิดล็อคฝาปิดไส้กรองอากาศ นำเอาไส้กรองอากาศออกมาทำความสะอาดได้ ส่วนเครื่องยนต์รุ่นใหม่ที่ใช้ระบบหัวฉีด หม้อกรองอากาศจะถูกผนึกแน่นกว่าปกติ เพราะหากหม้อกรองอากาศรั่วไหลได้ จะมีผลกับการทำงานของเครื่องยนต์ ดังนั้นการถอดหม้อกรองอากาศเอาไส้กรองอากาศออกมา บางทีก็ต้องใช้เครื่องมือและฝีมือพอสมควรด้วยเหตุนี้สำหรับเจ้าของรถบางคนที่ต้องการทำความสะอาดไส้กรองอากาศ ต้องอาศัยการลงมือของช่างไม่ว่าจะเป็นช่างตามศูนย์ หรือช่างที่อยู่ตามปั๊มน้ำมันก็ได้

          พวกไส้กรองอากาศที่เป็นแบบกระดาษอาบน้ำยา สามารถดักจับฝุ่นละอองสิ่งสกปรกไม่ให้หลุดลอดเข้าไปในเครื่องยนต์ได้ดีกว่าไส้กรองธรรมดา แต่ไม่สามารถใช้วิธีเอาลมเป่าทำความสะอาดได้ เพราะมักจะทำให้เกิดการอุดตันเพิ่มขึ้นมากกว่าจะสะอาด ต้องใช้วิธีเปลี่ยนใหม่กันอย่างเดียวหากเกิดการอุดตันหรืออากาศไหลผ่านไม่สะดวกเท่าที่ควรแล้ว

          ส่วนพวกไส้กรองกระดาษธรรมเราสามารถเป่าทำความสะอาดได้ โดยการทำควาอาด
มสะเราจะใช้ลมแรง ๆ เป่าจากด้านในไปสู่ด้านนอก หรือจากด้านที่เราเห็นว่าสะอาดกลับออกไปทางด้านสกปรก แม้เราจะเห็นว่าการเป่านั้นไม่สามารถทำให้ฝุ่นที่สกปรกฟุ้งออกมาได้มากเท่ากับการเป่าลมแรง ๆ ไปที่ด้านสกปรกก็ตาม เพราะการเป่าด้านสกปรกฝุ่นละอองสิ่งสกปรกจะถูกดันเข้าไป จนไปคาอยู่ทางด้านสะอาดแล้วหลุดเข้าไปในเครื่องยนต์ภายหลังได้ แบบนี้ก็จะทำให้เครื่องยนต์เสียหายหรือเกิดการสึกหรอโดยไม่สมควรเลย

          การซื้อไส้กรองเปลี่ยนใหม่ต้องดูให้ดีว่าเป็นของที่มีคุณภาพด้วย เพราะพวกอะไหล่ที่ไร้คุณภาพกระดาษกรองจะไม่ดี ความยาวของกระดาษกรองที่พับมีน้อย ความสามารถในการเก็บกักฝุ่นละอองสิ่งสกปรกมีต่ำกระดาษกรองถูกความชื้นก็จะบวมทำให้อากาศไหลผ่านลำบาก หากไม่แน่ใจก็ควรใช้วิธีเบิกห้าง แม้จะแพงหน่อยแต่ก็มั่นใจในคุณภาพได้

ไส้กรองน้ำมันเชื้อเพลิง
          อีกสิ่งหนึ่งที่ไม่ค่อยได้ดูแลกันเท่าไหร่นัก คือ ไส้กรองน้ำมันเชื้อเพลิง โดยเฉพาะรถรุ่นใหม่ที่ใช้ระบบหัวฉีด ไส้กรองน้ำมันเชื้อเพลิงจะมีความสำคัญมากเป็นพิเศษ

          ทั้งในระหว่างการขนส่งหรือการเก็บก็ตาม น้ำมันเชื้อเพลิงอาจจะได้รับสิ่งสกปรก เช่น สนิม หรือฝุ่นผง ยิ่งพวกที่ชอบใช้น้ำมันจนเกือบหมดหรือหมดถังแล้วค่อยเติม ปั๊มน้ำมันจะดูดเอาตะกอนกันถังน้ำมันเข้าไปด้วย ถ้าไม่มีไส้กรองน้ำมันเชื้อเพลิง สิ่งสกปรกเหล่านี้จะไปอุดท่อทางเดินน้ำมัน อุดนมหนูของพวกคาร์บูเรเตอร์ หรืออุดทางเดินของหัวฉีดในเครื่องระบบหัวฉีด

          พวกเครื่องคาร์บูเรเตอร์ตัวไส้กรองจะเห็นได้ชัด ราคาก็ไม่แพงนักสมควรเปลี่ยนบ่อยหน่อย ประมาณ 15,000 กิโลเมตรต่อครั้ง ส่วนพวกเครื่องหัวฉีดแม้จะแพงหน่อย แต่ก็ควรเปลี่ยนประมาณ 15,000 กิโลเมตรต่อครั้งเช่นเดียวกัน ส่วนพวกรถบางรุ่นที่ย้ายเอาไส้กรองน้ำมันเชื้อเพลิงไปไว้ในถังน้ำมัน การถอดเปลี่ยนจะต้องรื้อเยอะมาก อันนี้ให้เปลี่ยนตามที่บริษัทรถกำหนด


ที่มา เว็บ kapook.com

วันจันทร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2557

โช้คอัพมีปัญหากับสัญญาณที่ต้องระวัง

โช้คอัพรถมีปัญหา กับ 8 สัญญาณที่ต้องระวัง


   โช้คอัพ เป็นอุปกรณ์ที่ช่วยรองรับแรงกระแทก ลดแรงสั่นสะเทือนของรถ และยังทำหน้าที่หน่วงการเคลื่อนที่ขึ้นลงของตัวถังรถยนต์

          ถ้าเกิดโช้คอัพรถมีปัญหาจะส่งผลให้รถเสียศูนย์ เกิดอาการร่อน เมื่อวิ่งทำความเร็ว เข้าโค้งรถจะโคลงควบคุมได้ยาก อีกทั้งความนุ่มนวลของการขับรถจะหายไปอย่างมาก ซึ่งกรณีที่ร้ายแรงเมื่อเบรกกระทันหันอาจทำให้รถพลิกคว่ำได้เลยทีเดียว

การคืนตัวของโช้คอัพ

          ลองออกแรงกดรถยนต์แล้วปล่อย หากตัวรถมีอาการเด้งขึ้นลงหลาย ๆ ครั้งแสดงว่าโช้คอัพเสื่อมสภาพ เพราะโช้คอัพที่ดีเมื่อถูกกดจะยุบตัวและคืนตัวโดยไม่มีการเด้งขึ้น-ลงหลายครั้ง


มีรอยรั่วของน้ำมัน

          โดยตรวจบริเวณซีลโช้คอัพ ถ้ามีคราบน้ำมันเปื้อนแสดงว่ามีการรั่วซึม




โช้คอัพผิดรูปทรง
          ตรวจการบิดเบี้ยวของกระบอกโช้คหรือแกนโช้คควรเป็นทรงกระบอกสมมาตร ไม่ผิดรูปทรง

ไม่มีความร้อนจากโช้คอัพ
          หลังจากที่ใช้งานรถตามปรกติ เมื่อจอดให้ใช้มือสัมผัสกับกระบอกโช้คอัพทันที ถ้ากระบอกโช้คอัพมีความร้อนแสดงว่าโช้คอัพยังมีสภาพปรกติ แต่หากสัมผัสแล้วกระบอกโช้คอัพมีอุณหภูมิปกติ แสดงว่าโช้คอัพไม่มีการทำงาน


ดอกยางสึกผิดปรกติ
          ตรวจหน้ายาง ดอกยางของรถยนต์ หากมีสึกไม่สม่ำเสมอเป็นบั้งทั้งที่ตั้งศูนย์ล้อตรง แปลว่าโช้คอัพมีปัญหา


อาการโคลงของรถ

          ขณะเริ่มออกตัวโดยด้วยเร็วปกติแต่หน้ารถเชิดขึ้น และขณะเบรกที่ความเร็วต่ำหน้ารถทิ่มลง แสดงว่าโช้คอัพเริ่มเสื่อมสภาพ

ในห้องโดยสารกระเทือนมากว่าปรกติ
มีอาการกระเด้งกระดอนขึ้นลง เมื่อรถวิ่งผ่านเนินเล็ก ๆ หรือคอสะพาน ขณะขับขี่นั้นมีความรู้สึกว่ารถยนต์สั่นไม่นิ่มนวล

มีอาการรถร่อน

          เมื่อใช้ความเร็วสูงรถจะเสียการทรงตัวได้ง่าย เนื่องจากเกิดลมปะทะแล้วโช้คอัพที่ทำงานผิดปรกติไม่สัมพันธ์กันกับกระบอกอื่น ๆ

          ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นอาการที่บ่งชี้ว่าโช้คอัพของคุณเริ่มผิดปรกติ และหากมีอาการเหล่านี้ร่วมกันหลายอาการ ควรไปเข้าศูนย์หรืออู่เพื่อตรวจเช็กและรีบแก้ไขโดยทันที เพื่อความปลอดภัยของตัวคุณและทุกคนที่ใช้ถนนร่วมกันครับ 

ขอบคุณข้อมูลดีๆจากกระปุก.คอม

วันอังคารที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2557

คลัทช์ หมดอาการมันเป็นยังไง

รู้ไว้ก่อนพัง

ทุกวันนี้เราต้องยอมรับครับว่า รถยนต์นั้นก้าวล้ำไปอย่างมาก และด้วยเทคโนโลยีที่เปี่ยมล้นไปอย่างมากมายในปัจจุบันนั้น ทำให้คนจำนวนมากลืมคิดถึงชิ้นส่วนสำคัญๆ อย่างคลัทช์ ที่แม้ปัจจุบัน รถยนต์จะเป้นระบบเกียร์อัตโนมัติ แต่คลัทชืที่อยู่ในทุกส่วนที่ต้องถ่ายทดกำลังยังเป็นชิ้นส่วนสำคัญเสมอ

เมื่อพูดถึงคลัทช์แล้ว เราหลายคนคงไม่เคยอาการคลัทช์หมด ที่นับว่าเป้นเรื่องใหญ่พอๆกับเครื่องฮีท ซึ่งทำให้รถไม่สามารถไปต่อได้ และนอกจากคลัทช์จะทำให้รถไม่สามารถขับต่อไปได้แล้ว ยังอาจทำให้ระบบเกียร์พังคาที่ถ้าคุณรู้เท่าไม่ถึงการณ์

แน่นอนของทุกอย่างมันมีสัญญาณบอกลางร้ายก่อนที่มันจะเกิดขึ้นเสมอเพียงแต่คุณจะใส่ใจมันหรือไม่ แต่ถ้าตอนนี้คุณใช้รถมือสอง หรือรถที่มีอายุนานกว่า 10 ปี มีระยะทางผ่านมาแล้ว 1.5-2 แสนกิโลเมตร ไม่ว่าจะเกียร์ธรรมดา หรือเกียร์อัตโนมัติ ...นี่เป็นเวลาที่เหมาะสมในการตรวจเช็คคลัทช์

การตรวจเช็คคัลทช์นั้นไม่ยากและสามารถทำได้ด้วยตัวโดยไม่ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญ เพียงแต่คุณต้องจับความรู้สึกให้ได้ว่ารถคุณกำลังต้องการจะบอกอะไร แล้วลองทำตามดังนี้

1 .คลัทช์ลื่น นี่เป็นอาการเริ่มต้นที่คุณควรจะสนใจและมันเป้นลางร้ายที่บอกคุณก่อนที่คลัทช์ของคุณจะหมด อาการคลัทช์ลื่นนั้น สามารถเกิดขึ้นได้ ใน 2 กรณี คือ 1 คลัทช์ใกล้หมด ซึ่งมีสาเหตุใหญ่มาจากผ้าคลัทช์ที่เริ่มบาง และ 2.เครื่องมีกำลังเกินกว่าที่คลัทช์ จะรับได้ ซึ่งมักจะพบในรถยนต์กลุ่มที่มีการโมดิฟายเครื่องยนต์เท่านั้น

หากรถคุณไม่ได้โมเครื่อง แน่นอนว่า นี่เป็นสาเหตุของอาการคลัทช์ใกล้หมดที่เริ่มบ่งชี้อาการว่ารถของคุณกำลังไม่ปกติ
2.ความเร็วลดลงในรอบเครื่องเท่าเดิม บางครั้งในรถยนต์บางรุ่น คุณอาจไม่พบอาการคลัทช์ลื่นก็เป้นไปได้ และ นี่อาจเป้นอาหารที่ 2 ที่คุณอาจ โดยเฉพาะ ในรถยนต์เกียร์อัตโนมัติ ที่ยากมากที่คุณจะสังเกตอาการคลัทช์ลื่น บางครั้งถ้าคุณพบว่าที่ความเร็วเท่าเดิม แต่ใช้รอบเครื่องสูงขึ้นกว่าเดิม หรือรอบเครื่องเท่าเดิม แต่ได้ความเร็วต่ำกว่าที่เคยทำได้ นั่นก็เป็นอาการหนึ่งของคลัทช์ลื่นที่ช่วยเตือนคุณก่อนคลัทช์จะหมด

3.ขึ้นเนินชันได้ช้ากว่าปกติ บางครั้งทั้ง 2 อาการ ขั้นต้นคุณอาจจะยังไม่พบ แต่ถ้าคุณสามารถสังเกตได้ว่า รถเริ่มไต่เนินได้ช้า หรือต้องลดจังหวะเกียร์เพื่อขึ้นเนิน ทั้งๆที่ เมื่อก่อนไม่จำเป็นนั้น นี่เป็นอาการเริ่มต้นของอาการคลัทช์บาง ที่เป็นต้นเหตุอาหารคลัทช์หมด


อาการทั้ง 3 นี้คุณสามารถสังเกตได้และมักตบ ถ้ารถคุณเริ่มมีอาการคลัทช์ใกล้หมด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ตามปกติแล้วคลัทช์ 1 ชุดจะมีอายุการใช้งานที่ 150,000-200,000 กิโลเมตร หากคุณต้องการให้คลัทช์ใช้งานได้นานๆ ควรจะต้องรู้จักวิธีการใช้คลัทช์ให้ถูกต้อง

1. อย่าเลี้ยงคลัทช์ หลายคนมักนิยมเหยียบแช่คลัทช์ หรือที่เราเรียกกันว่า เลี้ยงคลัทช์ โดยเฉพาะใครก็ตามที่นิยมขับรถในเขตเมืองการเหยียบคลัทช์แช่ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง และสำหรับเกียร์อัตโนมัติ นี่คือคำตอบที่ดีสำหรับ ใครที่ถามว่าทำไมต้องเปลี่ยน D เป็น N ทั้งๆที่ติดไม่นาน เพราะในเจ้าตัว Torque Convertor นั้น มันก็มีคลัทช์เช่นกัน

2.อย่าเหยีบยคลัทช์โดยไม่จำเป็น ตามปกติแล้ว คลัทช์เราจะต้องใช้งานมันนั้นก็ต่อเมื่อ เราต้องการเปลี่ยนเกียร์ ซึ่งนั่นเป็นจังหวะเดียวที่เราจะใช้ ดังนั้นใครที่ใช้คลัทช์บ่อยๆโดยไม่จำเป็น ก็จะทำให้คลัทช์หมดไว


3.อย่าพักเท้าที่คลัทช์ หลายคนมักจะชอบพักเท้ารอที่คลัทช์ เพื่อรอจังหวะเปลี่ยนเกียร์ แต่ความจริงแล้วมันเป้นพฤติกรรมที่ผิดเพราะเพียงน้ำหนักนิดเดียวที่กฏลงแป้นก็อาจทำให้จานกดคลัทช์หนีห่างจากฟลายวีล และทำให้คลัทช์สึกหรอมากกว่าปกติได้

4. หลีกเลี่ยงการทำคลัทช์ไหม้ นี่เป็นเรื่องที่ต้องจำเอาไว้เลยสำหรับขาลุยที่ชอบเฮอาตามต่างจังหวัด การขับรถทางไกล โดยเฉพาะใครที่ขึ้นเขาลงห้วยบ่อยๆ พยายามหลีกเลี่ยงการทำคลัทช์ไหม้ให้ดี เพราะการทำคลัทช์ไหม้นี้จะทำให้หน้าสัมผะสของคลัทช์ เสื่อไวกว่าปกติ และท้ายที่สุด มันก็นจะเป็นอาการเรื้อรังไปถึงคลัทช์หมด

จานคลัทซ์ (Clutch Disc)

จานคลัทซ์ (Clutch Disc)


ทำไมเราต้องใช้คลัทซ์
      คลัทซ์มีหน้าที่เชื่อมต่อเพลาหมุน  2  อัน  โดยเพลาข้างหนึ่งหมุน จากการขับเคลื่อนของเครื่องยนต์ หรือมอเตอร์   ส่วนเพลาอีกข้างหนึ่งไปต่อเข้ากับตัวหนีบจับ เช่นหัวสว่าน  หรือ  ล้อ เป็นต้น  คลัทซ์จะต่อเพลาทั้งสองข้างนี้ให้หมุนด้วยความเร็วรอบที่เท่ากัน  หรือ มีความเร็วรอบที่ต่างกันก็ได้    และถ้าคลัทซ์แยกเพลานี้ออกจากกัน  เพลาด้านหนึ่งจะหมุน  อีกด้านหนึ่งจะไม่หมุน 

      ในรถยนต์ของคุณต้องมีคลัทซ์   เพราะเครื่องยนต์ต้องติด และหมุนอยู่ตลอดเวลา   ส่วนล้ออาจจะต้องหยุดบ้าง  เช่น จอดหน้าไฟแดง หรือจอดหน้าเซเว่นซื้อของเป็นต้น  เพื่อจะให้รถหยุดแต่เครื่องยังไม่ดับ  เพลาของล้อจะต้องถูกแยกออกจากเพลาหมุนของเครื่องยนต์  หน้าที่ของคลัทซ์อยู่ตรงนี้เอง   เพื่อให้เราเข้าใจการทำงานของคลัทซ์  ควรทราบเรื่อง แรงเสียดทาน สักเล็กน้อยก่อน


คลัทช์(Clutch) ในรถยนต์เกียร์ธรรมดา หรือ M/T มี 2 ประเภท

  1. คลัทช์ที่ใช้สายสลิงควบคุม หรือดึงชุด Clutch แบบนี้จะอยู่ใกล้กับแป้น Clutch ใช้แรงเหยียบ Clutch มากจึงไม่เป็นที่นิยมในรถยนต์ที่ใช้งานทั่วไปบนท้องถนน
  2. คลัทช์ชนิดที่ใช้ระบบไฮดรอลิก(Hydraulic) ชุด Clutch จะอยู่ไกลจากแป้นเหยียบ จึงทำให้ใช้แรงเหยียบน้อยกว่าแบบแรก ระบบการทำงานคล้ายกับระบบเบรค(Brake system) ที่มีแม่ปั๊มเบรค(Master cylinder) กับตัวลูกปั๊มเบรค(Brake Wheel Cylinder)



ส่วนประกอบของระบบส่งกำลัง 
  1. ล้อช่วยแรง หรือฟลายวีล(Fly wheel) มีหน้าที่หมุนไปตามแรงเพลาข้อเหวี่ยง หน้าสัมผัสล้อช่วยแรงอีกด้านหนึ่ง จะสัมผัสกับแผ่นคลัทช์ และแรงสัมผัสนี้มีน้ำหนักมาก ในเวลาที่ล้อช่วยแรงหมุน แกนเพลาคลัทช์ในห้องเกียร์จะสามารถหมุนตามได้
  2. แผ่นคลัทช์ หรือ Clutch disc มีลักษณะเป็นวงกลม มีเส้นผ่านศูนย์กลางเล็กกว่า เส้นผ่านศูนย์กลางของล้อช่วยแรง เรียกว่า ผ้าคลัทช์ หรือ Clutch Lining ทำมาจากวัสดุที่เป็นใยหิน และสารสังเคราะห์ คุณสมบัติเหนียว และทนทานต่อการเสียดทาน ฉาบอยู่ด้านหน้า และหลังจานคลัทช์
  3. แผ่นกดคลัทช์(Clutch Pressure Plate) หรือที่เรียกกันว่าหวีคลัทช์ จะประกบยึดอยู่กับฝาครอบคลัทช์ และล้อช่วยแรง ซึ่งจะทำงานเมื่อผู้ขับขี่ออกแรงเหยียบแป้นคลัทช์อยู่ในห้องโดยสาร แรงเหยียบจะถูกถ่ายทอดออกไปสู่ กระเดื่องกดแบริ่ง ที่มีแกนยื่นออกมานอกห้องคลัทช์ จากนั้นจะส่งแรงไปยังชุดกดแบริ่งที่ติดอยู่บนแกนเพลาคลัทช์ ตรงศูนย์กลาง ของแผ่น สปริงไดอะเฟรม
ขอบคุณข้อมูลจาก
www.boxzaracing.com
www.rmutphysics.com

หลักการทำงานของคลัทซ์
      หน้าที่ของคลัทช์คือปลดกำลังจากเครื่องยนต์ไปยังล้อขับเคลื่อน เมื่อทำการเปลี่ยนเกียร์หรือตอนสตาร์ทเครื่องทำให้สามารถเปลี่ยนเกียร์หรือเข้าเกียร์ได้อย่างนิ่มนวล และในตอนสตาร์ทเครื่องทำให้เครื่องยนต์สามารถเพิ่มความเร็วจนพอเพียงต่อการออกรถ

      เมื่อเหยียบคลัทช์ จะมีส่วน 3 ส่วนแยกจากกันคือ ล้อช่วยแรง แผ่นคลัทช์ และแผ่นกดประกบตัวล้อช่วยแรงนั้นติดอยู่กับเพลาข้อเหวี่ยงและหมุนไปด้วยกัน แผ่นคลัทช์มีเพลาชุดเกียร์เสียบอยู่ เลื่อนไปมาได้ แต่เวลาหมุนจะหมุนไปด้วยกัน แผ่นกดประกบเป็นตัวกดแผ่นคลัทช์ให้ติดอยู่กับล้อช่วยแรง เมื่อคลายแรงกดออกโดยการเหยียบคลัทช์เพลาข้อเหวี่ยงและเพลาชุดเกียร์จะหมุนเป็นอิสระไม่ขึ้นแก่กัน และเมื่อปล่อยคลัทช์มันก็จะหมุนไปด้วยกัน
       แผ่นคลัทช์เป็นจานโลหะมีรูตรงกลาง ทำเป็นฟันเฟืองสำหรับเสียบเพลาชุดเกียร์ หน้าทั้ง 2 ข้าง มีแผ่นเสียดทาน(ผ้าคลัทช์) เมื่อแผ่นกดประกบแผ่นคลัทช์นี้ติดกับล้อช่วยแรงจะต้องมีแรงกดมากพอที่จะไม่ให้เกิดการไถล เมื่อเครื่องยนต์มีแรงบิดสูงสุด

สอบถามสินค้า โทร 038 443084

วันศุกร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ไฟตัดหมอก

ไฟตัดหมอก

ไฟตัดหมอกหน้า - ประโยชน์ใช้สอยเพื่อให้เห็นทางได้ชัดขึ้น เพราะไฟหน้าปกติของเราจะฉายออกไปค่อนข้างไกล ซึ่งจำเป็นในสภาวะอากาศปกติ แต่ในสภาพมีหมอกลงจัด ลำแสงไฟที่ฉายออกไปตรงๆ จะสะท้อนละอองน้ำที่หนาแน่น ทำให้ยิ่งมองเห็นทางลำบากขึ้น - มันจะขาวโพลนไปหมด

ไฟตัดหมอกหลัง - ใช้ไฟสีแดงที่สว่างมากกว่าไฟท้ายปกติ (ส่วนใหญ่จะส่วางเท่ากับไฟเบรค) เพื่อสว่างตัดละอองหมอกออกไปให้รถที่อยู่ข้างหลังเห็นเราได้ดีขึ้น

ข้อคิด:
บางประเทศ เช่นฝรั่งเศส มีกฏหมายให้ใช้ไฟหน้าสีเหลือง เพราะตามหลักวิทยาศาสตร์ ไฟสีเหลืองจะฝ่าละอองน้ำ (ละอองหมอก) ไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า-ไกลกว่า ตัวอย่างที่เห็นก็คือ ไฟลานบิน (Runway) และไฟถนนใกล้ๆ สนามบิน จะใช้สีเหลือง เพื่อให้นักบินมองเห็นได้ชัดเจนขึ้น

กรุณาอ่านคำชี้แจงข้างต้น แล้วใช้ไฟตัดหมอกของท่าน ทั้งหน้าและหลัง ให้ถูกต้องกับจุดประสงค์ของมัน - ไม่ใช่เพื่อความโก้เก๋  

การใช้ไฟตัดหมอกให้ถูกวิธี จึงมีการรณรงค์กันอย่างต่อเนื่องจากทั้งทางภาครัฐ และเอกชน โดยกรณีที่จำเป็นต้องเปิดไฟตัดหมอก ประกอบด้วย
1. ฝนตกปรอยๆ หรือตกหนัก ไฟตัดหมอกจะมีประโยชน์มาก แม้จะเป็นช่วงกลางวันก็ตามเพราะมันสามารถช่วยให้รถที่สวนมามองเห็นไฟตัดหมอกอย่างชัดเจน
2. เมื่อขึ้นภูเขาสูงหรือยอดเขา โดยเฉพาะช่วงหน้าหนาวทั้งตอนเช้าและตอนกลางคืน   เพราะที่สูงๆ นั้น หมอกจะมีมากกว่าปกติ
3. ในช่วงกลางคืนหลังฝนหยุดตกหรือถนนยังเปียกอยู่ ซึ่งไฟตัดหมอกจะช่วยให้ทัศนวิสัยในการขับขี่ดีขึ้น เพราะไฟหน้าปกติถูกน้ำสะท้อนไปเกือบหมดแล้ว
4. ทุกกรณีที่มีหมอกหรือควันเกิดขึ้นบนท้องถนนที่บดบังทัศนวิสัยให้มองเห็นได้น้อยกว่า 50 เมตร
แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น ควรปิดไฟตัดหมอกทันทีที่มีรถสวนมาในระยะที่มองเห็นไฟหน้าของรถที่สวนมาได้อย่างชัดเจน แม้แต่รถที่มีระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติก็จะสั่งปิดไฟตัดหมอก คงไว้เฉพาะไฟปกติเมื่อสัญญาณจับได้ว่ามีไฟสะท้อนมาในมุมตรงข้าม
การใช้ไฟตัดหมอกอย่างถูกวิธีจะก่อให้เกิดประโยชน์และช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน และเสริมทัศนวิสัยของผู้ขับขี่ให้ดีขึ้น
ในทางตรงกันข้าม การเปิดไฟตัดหมอกอย่างพร่ำเพรื่อ ไม่มีมารยาท และผิดวิธี นอกจากจะรบกวนสายตาและสร้างความรำคาญให้กับผู้ขับรถรายอื่นๆ  ที่ร่วมใช้เส้นทางแล้ว ยังเพิ่มโอกาสทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่ายกว่าปกติอีกด้วย 


หัวเผา

หัวเผา

หัวเผา (Glow plug) เปนอุปการณที่ชวยในการสตารตเครื่องยนตใหติดไดโดยงาย
บางครั้งที่เครื่องยนตเย็นหรือมีอากาศหนาว จะทําใหเครื่องยนตสตารตติดยาก จึงตองมีอุปกรณเขามาชวยในการสตารตเครื่องยนต โดยวิธีการทําใหเกิดความรอนขึ้นภายในหองเผาไหมกอน แลวจึงจะสตารทเครื่องยนต

หัวเผา เป็นลักษณะของไส้ความร้อน ที่ทำงานโดยอาศัยกระแสไฟที่ได้จากแบตเตอรี่ เพื่อทำให้อุณหภูมิในห้องเผาไหม้สูงขึ้น เพื่อให้เกิดการจุดระเบิดได้ง่ายในขณะเครื่องเย็น โดยจะถูกติดตั้งที่กระบอกสูบของทุกสูบ

หัวเผาจะถูกติดตั้งในห้องเผาไหม้ล่วงหน้า และน้ำมันเชื้อเพลิงจะถูกฉีดเข้ามาที่ห้องนี้ เมื่อเกิดการจุดระเบิดขึ้นจะเกิดขึ้นที่ห้องเผาไหม้ล่วงหน้านี้ก่อนแล้วจึงลามออกไปยังห้องเผาไหม้หลัก
เครื่องยนต์ดีเซล ที่มีห้องเผาไหม้แบบอินไดเร็กต์ (indirect) หรือที่เรียกกันว่าสเวิร์มแชมเบอร์ เช่น เครื่องยนต์ของโตโยต้า ไมตี้เอ๊กซ์ (2L), มิตซูบิชิไซโคลน (4D56) เป็นต้น
เครื่องยนต์ที่ใช้ระบบหัวเผา ในขณะสตาร์ทเครื่องจะต้องรอให้ไฟสัญญาณดับลงก่อน จึงทำการสตาร์ท (ใช้เวลาประมาณ 3-4 วินาที)


สอบถามสินค้า โทร 038 443084

วันเสาร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2557

รับสมัครพนักงานรายชั่วโมง

พนักงานจัดเรียงและดูแลสินค้า

รายละเอียดงาน
1.จัดเก็บทำความสะอาดสินค้า
2.จัดเรียงสินค้า
3.ขนของ
4.สามารถเลือกเวลาทำงานวันละกี่ชั่วโมงก็ได้ในช่วงเวลาร้านเปิด

สถานที่ปฏิบัติงาน
ต.บ้านบึง อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี (ตลาดล่างบ้านบึง)

จำนวน
ไม่จำกัด

เงินเดือน
45 บ / ช.ม.

คุณสมบัติ
อายุไม่เกิน 25
ไม่จำกัดวุฒิ
ซื่อสัตย์
ไม่แพ้ฝุ่นละออง
สามารถทำงานในช่วงเวลาระหว่าง 8.00 น. - 20.00 น.
มีที่พักใกล้กับทางร้าน

สนใจติดต่อ 
038 443084
Email : sdgundam.taisen@gmail.com

543 ถ.ชลบุรี-บ้านบึง ต.บ้านบึง อ.บ้านบึง
จ.ชลบุรี 20170