วันจันทร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2557

โช้คอัพมีปัญหากับสัญญาณที่ต้องระวัง

โช้คอัพรถมีปัญหา กับ 8 สัญญาณที่ต้องระวัง


   โช้คอัพ เป็นอุปกรณ์ที่ช่วยรองรับแรงกระแทก ลดแรงสั่นสะเทือนของรถ และยังทำหน้าที่หน่วงการเคลื่อนที่ขึ้นลงของตัวถังรถยนต์

          ถ้าเกิดโช้คอัพรถมีปัญหาจะส่งผลให้รถเสียศูนย์ เกิดอาการร่อน เมื่อวิ่งทำความเร็ว เข้าโค้งรถจะโคลงควบคุมได้ยาก อีกทั้งความนุ่มนวลของการขับรถจะหายไปอย่างมาก ซึ่งกรณีที่ร้ายแรงเมื่อเบรกกระทันหันอาจทำให้รถพลิกคว่ำได้เลยทีเดียว

การคืนตัวของโช้คอัพ

          ลองออกแรงกดรถยนต์แล้วปล่อย หากตัวรถมีอาการเด้งขึ้นลงหลาย ๆ ครั้งแสดงว่าโช้คอัพเสื่อมสภาพ เพราะโช้คอัพที่ดีเมื่อถูกกดจะยุบตัวและคืนตัวโดยไม่มีการเด้งขึ้น-ลงหลายครั้ง


มีรอยรั่วของน้ำมัน

          โดยตรวจบริเวณซีลโช้คอัพ ถ้ามีคราบน้ำมันเปื้อนแสดงว่ามีการรั่วซึม




โช้คอัพผิดรูปทรง
          ตรวจการบิดเบี้ยวของกระบอกโช้คหรือแกนโช้คควรเป็นทรงกระบอกสมมาตร ไม่ผิดรูปทรง

ไม่มีความร้อนจากโช้คอัพ
          หลังจากที่ใช้งานรถตามปรกติ เมื่อจอดให้ใช้มือสัมผัสกับกระบอกโช้คอัพทันที ถ้ากระบอกโช้คอัพมีความร้อนแสดงว่าโช้คอัพยังมีสภาพปรกติ แต่หากสัมผัสแล้วกระบอกโช้คอัพมีอุณหภูมิปกติ แสดงว่าโช้คอัพไม่มีการทำงาน


ดอกยางสึกผิดปรกติ
          ตรวจหน้ายาง ดอกยางของรถยนต์ หากมีสึกไม่สม่ำเสมอเป็นบั้งทั้งที่ตั้งศูนย์ล้อตรง แปลว่าโช้คอัพมีปัญหา


อาการโคลงของรถ

          ขณะเริ่มออกตัวโดยด้วยเร็วปกติแต่หน้ารถเชิดขึ้น และขณะเบรกที่ความเร็วต่ำหน้ารถทิ่มลง แสดงว่าโช้คอัพเริ่มเสื่อมสภาพ

ในห้องโดยสารกระเทือนมากว่าปรกติ
มีอาการกระเด้งกระดอนขึ้นลง เมื่อรถวิ่งผ่านเนินเล็ก ๆ หรือคอสะพาน ขณะขับขี่นั้นมีความรู้สึกว่ารถยนต์สั่นไม่นิ่มนวล

มีอาการรถร่อน

          เมื่อใช้ความเร็วสูงรถจะเสียการทรงตัวได้ง่าย เนื่องจากเกิดลมปะทะแล้วโช้คอัพที่ทำงานผิดปรกติไม่สัมพันธ์กันกับกระบอกอื่น ๆ

          ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นอาการที่บ่งชี้ว่าโช้คอัพของคุณเริ่มผิดปรกติ และหากมีอาการเหล่านี้ร่วมกันหลายอาการ ควรไปเข้าศูนย์หรืออู่เพื่อตรวจเช็กและรีบแก้ไขโดยทันที เพื่อความปลอดภัยของตัวคุณและทุกคนที่ใช้ถนนร่วมกันครับ 

ขอบคุณข้อมูลดีๆจากกระปุก.คอม

วันอังคารที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2557

คลัทช์ หมดอาการมันเป็นยังไง

รู้ไว้ก่อนพัง

ทุกวันนี้เราต้องยอมรับครับว่า รถยนต์นั้นก้าวล้ำไปอย่างมาก และด้วยเทคโนโลยีที่เปี่ยมล้นไปอย่างมากมายในปัจจุบันนั้น ทำให้คนจำนวนมากลืมคิดถึงชิ้นส่วนสำคัญๆ อย่างคลัทช์ ที่แม้ปัจจุบัน รถยนต์จะเป้นระบบเกียร์อัตโนมัติ แต่คลัทชืที่อยู่ในทุกส่วนที่ต้องถ่ายทดกำลังยังเป็นชิ้นส่วนสำคัญเสมอ

เมื่อพูดถึงคลัทช์แล้ว เราหลายคนคงไม่เคยอาการคลัทช์หมด ที่นับว่าเป้นเรื่องใหญ่พอๆกับเครื่องฮีท ซึ่งทำให้รถไม่สามารถไปต่อได้ และนอกจากคลัทช์จะทำให้รถไม่สามารถขับต่อไปได้แล้ว ยังอาจทำให้ระบบเกียร์พังคาที่ถ้าคุณรู้เท่าไม่ถึงการณ์

แน่นอนของทุกอย่างมันมีสัญญาณบอกลางร้ายก่อนที่มันจะเกิดขึ้นเสมอเพียงแต่คุณจะใส่ใจมันหรือไม่ แต่ถ้าตอนนี้คุณใช้รถมือสอง หรือรถที่มีอายุนานกว่า 10 ปี มีระยะทางผ่านมาแล้ว 1.5-2 แสนกิโลเมตร ไม่ว่าจะเกียร์ธรรมดา หรือเกียร์อัตโนมัติ ...นี่เป็นเวลาที่เหมาะสมในการตรวจเช็คคลัทช์

การตรวจเช็คคัลทช์นั้นไม่ยากและสามารถทำได้ด้วยตัวโดยไม่ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญ เพียงแต่คุณต้องจับความรู้สึกให้ได้ว่ารถคุณกำลังต้องการจะบอกอะไร แล้วลองทำตามดังนี้

1 .คลัทช์ลื่น นี่เป็นอาการเริ่มต้นที่คุณควรจะสนใจและมันเป้นลางร้ายที่บอกคุณก่อนที่คลัทช์ของคุณจะหมด อาการคลัทช์ลื่นนั้น สามารถเกิดขึ้นได้ ใน 2 กรณี คือ 1 คลัทช์ใกล้หมด ซึ่งมีสาเหตุใหญ่มาจากผ้าคลัทช์ที่เริ่มบาง และ 2.เครื่องมีกำลังเกินกว่าที่คลัทช์ จะรับได้ ซึ่งมักจะพบในรถยนต์กลุ่มที่มีการโมดิฟายเครื่องยนต์เท่านั้น

หากรถคุณไม่ได้โมเครื่อง แน่นอนว่า นี่เป็นสาเหตุของอาการคลัทช์ใกล้หมดที่เริ่มบ่งชี้อาการว่ารถของคุณกำลังไม่ปกติ
2.ความเร็วลดลงในรอบเครื่องเท่าเดิม บางครั้งในรถยนต์บางรุ่น คุณอาจไม่พบอาการคลัทช์ลื่นก็เป้นไปได้ และ นี่อาจเป้นอาหารที่ 2 ที่คุณอาจ โดยเฉพาะ ในรถยนต์เกียร์อัตโนมัติ ที่ยากมากที่คุณจะสังเกตอาการคลัทช์ลื่น บางครั้งถ้าคุณพบว่าที่ความเร็วเท่าเดิม แต่ใช้รอบเครื่องสูงขึ้นกว่าเดิม หรือรอบเครื่องเท่าเดิม แต่ได้ความเร็วต่ำกว่าที่เคยทำได้ นั่นก็เป็นอาการหนึ่งของคลัทช์ลื่นที่ช่วยเตือนคุณก่อนคลัทช์จะหมด

3.ขึ้นเนินชันได้ช้ากว่าปกติ บางครั้งทั้ง 2 อาการ ขั้นต้นคุณอาจจะยังไม่พบ แต่ถ้าคุณสามารถสังเกตได้ว่า รถเริ่มไต่เนินได้ช้า หรือต้องลดจังหวะเกียร์เพื่อขึ้นเนิน ทั้งๆที่ เมื่อก่อนไม่จำเป็นนั้น นี่เป็นอาการเริ่มต้นของอาการคลัทช์บาง ที่เป็นต้นเหตุอาหารคลัทช์หมด


อาการทั้ง 3 นี้คุณสามารถสังเกตได้และมักตบ ถ้ารถคุณเริ่มมีอาการคลัทช์ใกล้หมด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ตามปกติแล้วคลัทช์ 1 ชุดจะมีอายุการใช้งานที่ 150,000-200,000 กิโลเมตร หากคุณต้องการให้คลัทช์ใช้งานได้นานๆ ควรจะต้องรู้จักวิธีการใช้คลัทช์ให้ถูกต้อง

1. อย่าเลี้ยงคลัทช์ หลายคนมักนิยมเหยียบแช่คลัทช์ หรือที่เราเรียกกันว่า เลี้ยงคลัทช์ โดยเฉพาะใครก็ตามที่นิยมขับรถในเขตเมืองการเหยียบคลัทช์แช่ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง และสำหรับเกียร์อัตโนมัติ นี่คือคำตอบที่ดีสำหรับ ใครที่ถามว่าทำไมต้องเปลี่ยน D เป็น N ทั้งๆที่ติดไม่นาน เพราะในเจ้าตัว Torque Convertor นั้น มันก็มีคลัทช์เช่นกัน

2.อย่าเหยีบยคลัทช์โดยไม่จำเป็น ตามปกติแล้ว คลัทช์เราจะต้องใช้งานมันนั้นก็ต่อเมื่อ เราต้องการเปลี่ยนเกียร์ ซึ่งนั่นเป็นจังหวะเดียวที่เราจะใช้ ดังนั้นใครที่ใช้คลัทช์บ่อยๆโดยไม่จำเป็น ก็จะทำให้คลัทช์หมดไว


3.อย่าพักเท้าที่คลัทช์ หลายคนมักจะชอบพักเท้ารอที่คลัทช์ เพื่อรอจังหวะเปลี่ยนเกียร์ แต่ความจริงแล้วมันเป้นพฤติกรรมที่ผิดเพราะเพียงน้ำหนักนิดเดียวที่กฏลงแป้นก็อาจทำให้จานกดคลัทช์หนีห่างจากฟลายวีล และทำให้คลัทช์สึกหรอมากกว่าปกติได้

4. หลีกเลี่ยงการทำคลัทช์ไหม้ นี่เป็นเรื่องที่ต้องจำเอาไว้เลยสำหรับขาลุยที่ชอบเฮอาตามต่างจังหวัด การขับรถทางไกล โดยเฉพาะใครที่ขึ้นเขาลงห้วยบ่อยๆ พยายามหลีกเลี่ยงการทำคลัทช์ไหม้ให้ดี เพราะการทำคลัทช์ไหม้นี้จะทำให้หน้าสัมผะสของคลัทช์ เสื่อไวกว่าปกติ และท้ายที่สุด มันก็นจะเป็นอาการเรื้อรังไปถึงคลัทช์หมด

จานคลัทซ์ (Clutch Disc)

จานคลัทซ์ (Clutch Disc)


ทำไมเราต้องใช้คลัทซ์
      คลัทซ์มีหน้าที่เชื่อมต่อเพลาหมุน  2  อัน  โดยเพลาข้างหนึ่งหมุน จากการขับเคลื่อนของเครื่องยนต์ หรือมอเตอร์   ส่วนเพลาอีกข้างหนึ่งไปต่อเข้ากับตัวหนีบจับ เช่นหัวสว่าน  หรือ  ล้อ เป็นต้น  คลัทซ์จะต่อเพลาทั้งสองข้างนี้ให้หมุนด้วยความเร็วรอบที่เท่ากัน  หรือ มีความเร็วรอบที่ต่างกันก็ได้    และถ้าคลัทซ์แยกเพลานี้ออกจากกัน  เพลาด้านหนึ่งจะหมุน  อีกด้านหนึ่งจะไม่หมุน 

      ในรถยนต์ของคุณต้องมีคลัทซ์   เพราะเครื่องยนต์ต้องติด และหมุนอยู่ตลอดเวลา   ส่วนล้ออาจจะต้องหยุดบ้าง  เช่น จอดหน้าไฟแดง หรือจอดหน้าเซเว่นซื้อของเป็นต้น  เพื่อจะให้รถหยุดแต่เครื่องยังไม่ดับ  เพลาของล้อจะต้องถูกแยกออกจากเพลาหมุนของเครื่องยนต์  หน้าที่ของคลัทซ์อยู่ตรงนี้เอง   เพื่อให้เราเข้าใจการทำงานของคลัทซ์  ควรทราบเรื่อง แรงเสียดทาน สักเล็กน้อยก่อน


คลัทช์(Clutch) ในรถยนต์เกียร์ธรรมดา หรือ M/T มี 2 ประเภท

  1. คลัทช์ที่ใช้สายสลิงควบคุม หรือดึงชุด Clutch แบบนี้จะอยู่ใกล้กับแป้น Clutch ใช้แรงเหยียบ Clutch มากจึงไม่เป็นที่นิยมในรถยนต์ที่ใช้งานทั่วไปบนท้องถนน
  2. คลัทช์ชนิดที่ใช้ระบบไฮดรอลิก(Hydraulic) ชุด Clutch จะอยู่ไกลจากแป้นเหยียบ จึงทำให้ใช้แรงเหยียบน้อยกว่าแบบแรก ระบบการทำงานคล้ายกับระบบเบรค(Brake system) ที่มีแม่ปั๊มเบรค(Master cylinder) กับตัวลูกปั๊มเบรค(Brake Wheel Cylinder)



ส่วนประกอบของระบบส่งกำลัง 
  1. ล้อช่วยแรง หรือฟลายวีล(Fly wheel) มีหน้าที่หมุนไปตามแรงเพลาข้อเหวี่ยง หน้าสัมผัสล้อช่วยแรงอีกด้านหนึ่ง จะสัมผัสกับแผ่นคลัทช์ และแรงสัมผัสนี้มีน้ำหนักมาก ในเวลาที่ล้อช่วยแรงหมุน แกนเพลาคลัทช์ในห้องเกียร์จะสามารถหมุนตามได้
  2. แผ่นคลัทช์ หรือ Clutch disc มีลักษณะเป็นวงกลม มีเส้นผ่านศูนย์กลางเล็กกว่า เส้นผ่านศูนย์กลางของล้อช่วยแรง เรียกว่า ผ้าคลัทช์ หรือ Clutch Lining ทำมาจากวัสดุที่เป็นใยหิน และสารสังเคราะห์ คุณสมบัติเหนียว และทนทานต่อการเสียดทาน ฉาบอยู่ด้านหน้า และหลังจานคลัทช์
  3. แผ่นกดคลัทช์(Clutch Pressure Plate) หรือที่เรียกกันว่าหวีคลัทช์ จะประกบยึดอยู่กับฝาครอบคลัทช์ และล้อช่วยแรง ซึ่งจะทำงานเมื่อผู้ขับขี่ออกแรงเหยียบแป้นคลัทช์อยู่ในห้องโดยสาร แรงเหยียบจะถูกถ่ายทอดออกไปสู่ กระเดื่องกดแบริ่ง ที่มีแกนยื่นออกมานอกห้องคลัทช์ จากนั้นจะส่งแรงไปยังชุดกดแบริ่งที่ติดอยู่บนแกนเพลาคลัทช์ ตรงศูนย์กลาง ของแผ่น สปริงไดอะเฟรม
ขอบคุณข้อมูลจาก
www.boxzaracing.com
www.rmutphysics.com

หลักการทำงานของคลัทซ์
      หน้าที่ของคลัทช์คือปลดกำลังจากเครื่องยนต์ไปยังล้อขับเคลื่อน เมื่อทำการเปลี่ยนเกียร์หรือตอนสตาร์ทเครื่องทำให้สามารถเปลี่ยนเกียร์หรือเข้าเกียร์ได้อย่างนิ่มนวล และในตอนสตาร์ทเครื่องทำให้เครื่องยนต์สามารถเพิ่มความเร็วจนพอเพียงต่อการออกรถ

      เมื่อเหยียบคลัทช์ จะมีส่วน 3 ส่วนแยกจากกันคือ ล้อช่วยแรง แผ่นคลัทช์ และแผ่นกดประกบตัวล้อช่วยแรงนั้นติดอยู่กับเพลาข้อเหวี่ยงและหมุนไปด้วยกัน แผ่นคลัทช์มีเพลาชุดเกียร์เสียบอยู่ เลื่อนไปมาได้ แต่เวลาหมุนจะหมุนไปด้วยกัน แผ่นกดประกบเป็นตัวกดแผ่นคลัทช์ให้ติดอยู่กับล้อช่วยแรง เมื่อคลายแรงกดออกโดยการเหยียบคลัทช์เพลาข้อเหวี่ยงและเพลาชุดเกียร์จะหมุนเป็นอิสระไม่ขึ้นแก่กัน และเมื่อปล่อยคลัทช์มันก็จะหมุนไปด้วยกัน
       แผ่นคลัทช์เป็นจานโลหะมีรูตรงกลาง ทำเป็นฟันเฟืองสำหรับเสียบเพลาชุดเกียร์ หน้าทั้ง 2 ข้าง มีแผ่นเสียดทาน(ผ้าคลัทช์) เมื่อแผ่นกดประกบแผ่นคลัทช์นี้ติดกับล้อช่วยแรงจะต้องมีแรงกดมากพอที่จะไม่ให้เกิดการไถล เมื่อเครื่องยนต์มีแรงบิดสูงสุด

สอบถามสินค้า โทร 038 443084