วันศุกร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2562

หลอดฮาโลเจนคืออะไร


หลอดฮาโลเจนคืออะไร

หลอดฮาโลเจนคืออะไร H1,H2,H3, Hโน้นนี้นั้น หน้าตาเป็นแบบไหน วันนี้เราจะมาทำความรู้จักหลอดไฟแบบต่างๆกันดีกว่า

โดยทั่วๆไปนั้น ดวงไฟหน้าของรถยนต์ต้องมีสองดวงเป็นอย่างน้อย หรืออาจจะมีมากกว่านั้น ซึ่งระบบการทำงานแบ่งออกได้ 2 แบบ ตามลักษณะของลำแสง (beam) ที่พุ่งออกมาคือแบบไฟสูง (main beam)จะให้ลำแสงตรงไปข้างหน้าด้วยความเข้มมากที่สุด ส่วนอีกแบบหนึ่งเรียกกว่าแบบไฟต่ำ (dipped beam) ซึ่งให้ลำแสงสั้นและต่ำกว่าแบบแรก..ซึ่งที่กล่าวมานั้นส่วนใหญ่หรือแทบจะทั้งหมดนั้น ได้ความสว่างหรือแสงไฟมาจากหลอดฮาโลเจน (Halogen Bulb)นั้นเอง..

 ** มารู้จักเจ้าหลอดตัวนี้กันครับว่ามันมีลักษณะแบบใด มีคุณสมบัติอย่างไร โดยมาตรฐานแล้วมีกี่ประเภท **

 หลอดฮาโลเจน (Halogen Bulb) หรือรู้จักกันในชื่อ หลอดฮาโลเจนทังสเตน เป็นหลอดไส้ที่มีไส้หลอดเป็นทังสเตน ซึ่งบรรจุในแก๊สเฉื่อยและฮาโลเจนปริมาณน้อย หลอดแบบไส้ทั่วไปจะมีไส้หลอดซึ่งมีลักษณะเป็นเกลียวทังสเตนขนาดเล็กอยู่ภายหลอดแก้วที่บรรจุด้วยก๊าซฮาโลเจน เมื่อมีกระแสไฟส่งเข้ามา ไส้ทังสเตนจะเกิดความร้อนและปล่อยไอออกมารวมตัวกับก๊าซฮาโลเจนก่อให้เกิดเป็นแสงสว่างขึ้นมา ซึ่งในรถยนต์ต่างๆนิยมนำติดตั้งเป็นมาตรฐานของหลอดไฟรถยนต์ แต่ทว่า..หลอดไฟไฮโดรเจนเดิมจากโรงงานที่ว่ามานั้นมาตรฐานนั้นใช้กำลังไฟถึง 55W. บางรุ่นรถยุโรปใช้ถึง60W.


H1 หลอดชนิดนี้จะใช้อยู่กับรถยุโรปเช่นพวกรถ BMW และพวกรถญี่ปุ่นรุ่นใหญ่ ๆ
H3 โดยมากใช้ในไฟสปอร์ตไลท์ที่ติดเพิ่มเข้าไป
H4 เป็นหลอดไฟหน้าที่รถส่วนใหญ่ใช้อยู่ในปัจจุบันนี้ ชั้นบนของไส้หลอดจะมีฝาครอบกันไว้ด้านหนึ่ง (เจ้าฝาครอบตัวนี้ มีไว้สำหรับบังแสงไฟไม่ให้กระจายเต็มพื้นที่ในโคมไฟจึงทำให้แสงที่ผ่านโคมไฟออกมามีเพียงครึ่งเดียวกลายเป็นไฟต่ำนั่นเอง) ส่วนชั้นล่างมีเฉพาะขดลวดเท่านั้น(ไฟสูง) ไม่มีฝาครอบ ด้านนอกมีสามขาสำหรับไฟ สูง/ต่ำ และขั้วดิน (-)
H7 จะมีใช้ในรถ MERCEDES-BENZ ตากลมหรือรถ BMW

 หลอดไฟหน้าจะมีอยู่หลายลักษณะ ตามมาตรฐานต่างๆ เช่น H1,H2,H3,H4,HB3,HB4 ซึ่งจะแตกต่างกันไปตามลักษณะของขั้วหลอดและรูปทรงนั้นๆ อาทิ

หลอด H1
หลอด H3
หลอด H4
หลอด H7
หลอด HB4


ที่มา www.bankkin.com


วันเสาร์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

ฝาหม้อน้ำสิ่งเล็กที่สำคัญ

ฝาหม้อน้ำ

“ฝาหม้อน้ำ” มีหน้าที่ ควบคุมแรงดันภายในหม้อน้ำให้คงที่หากชำรุดเสียหายจะส่งผลให้การควบคุมแรงดันผิดปกติไปส่งผลให้เกิดอาการน้ำในระบบหล่อเย็นหายไป


หลาย ๆ ท่านคงเคยพานพบกับปัญหาชวนปวดหัวเมื่อน้ำในหม้อน้ำหายไป เริ่มจากเล็กน้อยและเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งใช้งานรถเป็นเวลานาน ๆ น้ำยิ่งหายมากขึ้น จนนำมาสู่ปัญหาความร้อนสูงในที่สุด พยายามหารอยรั่วซึมก็ไม่เจอ สุดท้ายอาจหลงทางไปจนถึงขั้นคิดว่าฝาสูบโก่งหรือประเก็นฝาสูบแตก โดยมองข้าม “ฝาหม้อน้ำ”สิ่งเล็กๆแต่สำคัญใหญ่หลวงไป

“ฝาหม้อน้ำ” มีหน้าที่ ควบคุมแรงดันภายในหม้อน้ำให้คงที่ด้วยวาล์วที่ประกอบด้วยสปริงแรงดันและแผ่นยางทนความร้อนสูง โดยสปริงจะมีอยู่ด้วยกัน 2 ชุด ประกอบตัวใหญ่ที่มองเห็นด้วยตาเปล่าอยู่ภายนอกมีหน้าที่ควบคุมแรงดัน และเมื่อแรงดันภายในหม้อน้ำสูงขึ้นจนชนะแรงสปริงที่ระบุไว้บนฝาหม้อน้ำอาทิ 0.9 หรือ 1.1 บาร์ น้ำก็จะถูกดันออกไปไปยังหม้อพักน้ำ (คงหายสงสัยว่าสาเหตุใดผู้ผลิตรถยนต์ถึงไม่กำหนดให้เติมน้ำในหม้อพักจนเต็มก็เพื่อรองรับน้ำที่ถูกดันจากหม้อน้ำ) และเมื่อน้ำในระบบเย็นลง แรงดันในหม้อน้ำลดลง สปริงตัวเล็กที่อยู่ในแกนฝาหม้อน้ำจะทำหน้าที่เป็นวาล์วสุญญากาศ ดูดน้ำจากหม้อกลับไปยังหม้อน้ำดังเดิม

แต่ถ้าฝาหม้อน้ำเกิดการชำรุดเสียหาย ไม่ว่าจะในกรณีที่มองเห็นด้วยตาเปล่า อาทิ ยางทนความร้อนหมดอายุ แข็ง ฉีกขาด หรือมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าคือสปริงแรงดันเสื่อมคุณภาพ ก็จะส่งผลให้การควบคุมแรงดันผิดปกติไปส่งผลให้เกิดอาการน้ำในระบบหล่อเย็นหายไป

เทคนิคควรรู้

-ควรเติมน้ำยาหล่อเย็นที่ได้คุณภาพและเปลี่ยนถ่ายปีละครั้งเพื่อป้องกันการเกิดตระกรันอันจะนำมาสู่ความเสียหายของยางทนความร้อนและสปริงแรงดัน

-ควรเปลี่ยนฝาปิดหม้อน้ำทุกๆ 8 หมื่นกิโลเมตร เพราะยางทนความร้อนและสปริงแรงดันเริ่มเสื่อมสภาพ

-ตรวจสอบชุดสปริงวาล์ว สุญญากาศ ด้วยการเปิดฝาหม้อน้ำออกมาในขณะเครื่องเย็นแล้วลองใช้มือดึงแกนกลางด้านล่างซึ่งประกบติดกับแผ่นยางทนความร้อนถ้าแข็งหรือดึงไม่ออกแสดงว่าสปริงวาล์ว สุญญากาศ กลับบ้านเก่าแล้วต้องเปลี่ยนสถานเดียวครับ

การเลือกซื้อฝาหม้อน้ำ

-เลือกซื้อฝาหม้อน้ำที่ได้คุณภาพมาตรฐาน โดยจะเบิกจากศูนย์บริการก็ได้(ราคาไม่แพงอย่างที่คิด)

-อย่าเสี่ยงกับการใช้ฝาหม้อน้ำเทียมเพราะอาจจะได้ไม่คุ้มเสีย

- ควรเลือกซื้อฝาหม้อน้ำ ที่มีค่าแรงดันเท่ากับฝาหม้อน้ำเดิมที่โดยบนฝาหม้อน้ำจะมีตังเลขระบุไว้ อาทิ 0.9 บาร์ 1.1 บาร์

ระบบหล่อเย็นเป็นสิ่งสำคัญของเครื่องยนต์ ถ้าดูแลให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์เสมอรถยนต์ของท่านก็จะใช้งานได้อีกนานเท่านาน

เครดิต https://www.dailynews.co.th/article/383421


สนใจฝาหม้อน้ำเชิญชมได้ที่นี่ครับ
http://akp-auto.lnwshop.com

วันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2561

ขับรถฝนตกแรงแค่ใหนก็ไม่กลัวอุบัติเหตุ

         เวลาขับรถเมื่อฝนตกหลายท่านอาจเจอปัญหากระจกรถเป็นฝ้า ทำให้ทัศนวิสัยในการขับรถลดลงได้และอาจจะเป็นสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุได้ ทีนี้เราลองมาทำความเข้าใจและแก้ปัญหาดีกว่า

ฝ้ากระจกเกิดได้อย่างไร

 ฝ้าอาจจะเกิดที่กระจกรถยนต์ของเรานั้นเกิดขึ้น 2 แบบ คือ
  • ฝ้าเกาะที่ผิวด้านนอกกระจก (นอกตัวรถ) เกิดเพราะ อากาศภายในตัวห้องโดยสารรถยนต์เย็นกว่าอากาศรอบนอกตัวรถยนต์ ส่งผลให้ที่ผิวกระจกด้านในเย็นกว่าผิวกระจกด้านนอก อากาศรอบผิวกระจกด้านนอกจะเย็นลงตาม และไอน้ำในอากาศจะจับตัวกันที่ผิวกระจกเกิดเป็นฝ้าขึ้น มักเกิดเวลาที่ฝนตก ซึ่งอากาศภายนอกมีความชื้นสูง
  • ฝ้าเกาะที่ผิวด้านในกระจก (ในตัวรถ) เกิดเพราะ อากาศรอบนอกตัวรถยนต์เย็นกว่าอากาศภายในตัวห้องโดยสารรถยนต์ มักเกิดในช่วงหน้าหนาว ความชื้นในอากาศรอบนอกทั่ว ๆ ไปจะต่ำ

การแก้ปัญหาคือ ต้องพยายามทำให้อุณหภูมิที่ผิวกระจกทั้งด้านนอกและด้านในมีอุณหภูมิใกล้เคียงกัน
  1.  การปรับเพิ่ม-ลดความเย็นแอร์รถยนต์ ถ้าเกิดฝ้าในรถให้เราเร่งแอร์ให้เย็นขึ้น
  2.  การปรับแง้มกระจกเพื่อให้ลมจากภาพนอกเข้ามาเพื่อทำให้อุณหภูมิใกล้เคียงกัน
  3.  การปรับทิศทางลมแอร์ไม่ให้หันไปทางกระจก
  4.  การใช้ที่ปัดน้ำฝน
  5.  การใช้ผ้าเช็ด
แล้วถ้าฝนตกแรงน้ำที่กระจกก็เป็นปัญหาต่อวิสัยในการขับรถอยู่ดี
ถ้าเป็นแบบนี้ผมแนะนำการให้น้ำยาเคลือบกระจกรถเป็นสิ่งที่ดีมากที่สุด

ข้อดีของการเคลือบกระจกรถยนต์

1.ป้องกันน้ำเกาะกระจกรถ ถือเป็นคุณสมบัติเด่นอย่างแรกที่มีประโยชน์อย่างมาก ที่สำคัญเมื่อคุณต้องขับรถเวลาฝนตก ด้วยความเร็วประมาณ 45 กม./ชม.ขึ้นไป เม็ดน้ำฝนที่เคยตกบนกระจกเป็นเม็ดๆ จะวิ่งไหลลื่นผ่านกระจกไป โดยที่ไม่ต้องปัดน้ำฝน ช่วยเพิ่มทัศนะวิสัยในการขับขี่ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
2.ช่วยป้องกันฝนกรด หรือคราบหินปูนที่อาจจะกัดกร่อนเข้าเนื้อกระจกได้ นอกจากจะช่วยเพิ่มทัศนวิสัยในการขับขี่ที่ปลอดภัยแล้ว
3.ป้องกันการฝังตัวของ เขม่า ควัน ฝุ่นละอองที่หน้ากระจก คงความชัดใส ปลอดภัยตลอดการขับขี่
4.ในบางยี่ห้อยังป้องกันการเกิดฝ้ามัวของกระจกได้อีกด้วย


วิธีการเคลือบกระจกรถยนต์
การเคลือบกระจกรถยนต์นั้นไม่ใช่เรื่องยากเลยสำหรับคนรักรถอย่างเรา ถึงแม้จะมีหลายขั้นตอนด้วยกัน แต่ผลลัพธ์ที่ออกมานั้นรับรองว่าคุ้มค่าจริงๆ
1.ให้ยกใบปัดน้ำฝนของรถคุณขึ้นทั้งสองข้าง
2.ล้างกระจกรถคุณให้สะอาด ด้วยแชมพูล้างรถทั่วๆไป ระหว่างล้างลองเอามือลูบๆบนผิวกระจกดูว่ามีสิ่งสกปรกติดอยู่หรือไม่ ถ้ามีให้ทำความสะอาด จนผิวกระจกเรียบเสมอกันทั้งบาน
3.ให้ล้างแชมพูออกด้วยน้ำเปล่า และใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์เช็ดให้แห้ง
4.จากนั้นให้เริ่มทาน้ำยาเคลือบกระจกลงบนกระจกทีละส่วน โดยไล่จากบนลงล่าง จนทั่วทั้งบานกระจกรถ แล้วทิ้งไว้ให้น้ำยาเซ็ตตัวประมาณ 5 นาที (ระวังอย่าให้โดนสี และชิ้นส่วนอื่นๆที่ไม่ใช่กระจก) ถ้าโดนควรเช็ดออกทันที
ทำความสะอาดกระจกด้วยน้ำยาเช็ดกระจกอีกทีนึง และเช็ดให้แห้งสนิท
5.จากนั้นค่อยเช็ดกระจกด้วยผ้าไมโครไฟเบอร์จนกระจกใสดังเดิม และไม่หลงเหลือคราบฝ้าของน้ำยาเคลือบบนกระจกรถเท่านี้ก็เป็นอันเสร็จสิ้นขั้นตอนการเคลือบกระจกรถยนต์เป็นที่เรียบร้อย

http://akp-auto.lnwshop.com/product/น้ำยาไล่น้ำฝน

วันจันทร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2561

เลือกใช้จารบีให้ถูกกับงาน

จารบี

เบอร์จาระบี จะแสดงว่าเมื่อเบอร์จาระบีสูงขึ้น จาระบีจะมีสภาพแข็งขึ้น ส่วนระยะจมนั้นแสดงถึงความลึกของกรวยที่จมลงในจาระบี ถ้าระยะจมมาก แดสงว่าจาระบีมีสภาพอ่อนนิ่มกว่าระยะจมน้อย ความอ่อนแข็งของจาระบีขึ้นกับเปอร์เซนต์ของสบู่และความหนืดของน้ำมันพื้นฐาน

การเลือกใช้จาระบี

จาระบีที่จำหน่ายอยู่ในท้องตลาดมีอยู่หลายประเภท ควรเลือกใช้ให้ถูกต้องและเหมาะสมกับการใช้งานดังนี้
  • สัมผัสกับน้ำและความชื้นหรือไม่ ถ้าสัมผัสหรือเกี่ยวข้องต้องเลือกใช้จาระบีประเภททนน้ำ ถ้าเลือกใช้ผิดประเภท จาระบีจะถูกดูดความชื้นหรือน้ำ ทำให้เยิ้มหลุดออกจากจุดหล่อลื่นได้
  • อุณหภูมิใช้งานสูงมากน้อยแค่ไหน จุดใช้งานที่อุณหภูมิสูงกว่า80°Cควรเลือกใช้จาระบีประเภททนความร้อน ถ้าเลือกใช้ไม่ถูกต้อง จาระบีจะเยิ้มเหลวไหลทะลักออกมาจากจุดหล่อลื่น
  • ในกรณีที่สัมผัสทั้งน้ำและความร้อน ควรเลือกใช้จาระบีประเภทอเนกประสงค์ (Multipurpose)คุณภาพดี หรือ จาระบีคอมเพล็กซ์(Complex)ซึ่งราคาย่อมแพงกว่าจาระบีประเภททนน้ำหรือความร้อนเพียงอย่างเดียว
  • มีแรงกดแรงกระแทกระหว่างการใช้งาน ถ้ามีมากควรพิจารณาเลือกใช้จาระบีประเภทผสมสารรับแรงกดแรงกระแทก (EP Additives)
  • สภาพแวดล้อมทั่วไป เช่น ถ้ามีฝุ่นละอองและสกปรกหรืออุณหภูมิสูงมาก จะเป็นปัจจัยสำคัญทำให้ต้องอัดจาระบีบ่อยครั้งขึ้น

การเลือกใช้เบอร์จาระบี วิธีการนำจาระบีไปใช้งานซึ่งมีอยู่หลายแบบถ้าเป็นระบบแบบจุดจ่ายกลาง (Centralized System) ที่ใช้ปั๊มป้อนจาระบีไปยังจุดที่ใช้หล่อลื่นต่าง ๆ ก็ควรใช้จาระบีอ่อน หรือ เบอร์0 หรือเบอร์1 ถ้าอัดด้วยมือหรือปืนอัด อาจใช้เบอร์2 หรือเบอร์3 หรือแข็งกว่านี้ ถ้าป้ายหรือทาด้วยมือความอ่อนแข็งไม่สำคัญมากนัก นอกจากนั้นถ้าเป็นพวกกระปุกเฟืองเกียร์ที่ใช้จาระบีหล่อลื่น ก็ควรใช้จาระบีประเภทอ่อน คือเบอร์0 หรือเบอร์1

http://akp-auto.lnwshop.com จารบี

วันศุกร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2561

น้ำมันเกียร์ สำคัญยิ่งกว่าน้ำมันเครื่อง

น้ำมันเกียร์
       ปัจจุบันระบบเกียร์ธรรมดาสำหรับยานยนต์ที่ใช้กันอยู่ ได้ถูกพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ชิ้นส่วนฟันเกียร์มีความแข็งแรงมากขึ้นและมีขนาดเล็กลง นอกจากนี้ยังเพิ่มความแข็งแรงของเฟืองเกียร์ด้วยการเคลือบสารเพิ่มความแข็งแรง ทำให้สามารถรองรับภาระงานที่หนักได้ และเพิ่มการประหยัดเชื้อเพลิงโดยการเพิ่มชุดขับเคลื่อนเกียร์ให้มากขึ้นอีกด้วยทำให้ขับเคลื่อนได้ดีขึ้น

        นอกจากชิ้นส่วนเฟืองเกียร์จะมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องแล้วสิ่งสำคัญอีกสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ในระบบเกียร์ และได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกันก็คือ “น้ำมันเกียร์”

        การใช้น้ำมันเครื่องต่างจากที่ผู้ผลิตรถกำหนดไว้ ถึงจะผิดจริง เช่น เอาน้ำมันสำหรับเครื่องดีเซล มาใส่เครื่องเบนซิน หรือว่ากลับกัน หรือค่าความหนืดไม่เหมาะ ก็ไม่เกิดความเสียหายครับ การหล่อลื่นอาจจะไม่ได้ผลเต็มที่เท่านั้นเอง แต่การเอาน้ำมันเกียร์ชนิดอื่นมาใส่เกียร์ ซีวีที เกียร์ของคุณจะชำรุดหมดทางแก้ไขในเวลาอันสั้น และอีกอย่างแน่นอนด้วย ถ้าจะยกตัวอย่างให้เข้าใจง่าย ก็น่าจะระดับเดียวกับการเอาน้ำมันพืชสำหรับปรุงอาหาร มาใส่แทนน้ำมันกียร์ของเกียร์ธรรมดา

       SAE 90 คือน้ำมันเกียร์ธรรมดา
       SAE 140 คือเกียร์เฟืองท้าย
        GL-5 คือมาตรฐาน เกรด ที่ใช้กับเกียร์ ไฮปอยล์ (HP)

น้ำมันเกียร์มีความสำคัญอย่างมากต่อระบบเกียร์ ดังนั้นท่านควรจะเลือกใช้น้ำมันเกียร์ตามคำแนะนำในคู่มือและคำแนะนำในการบำรุงรักษาของผู้ผลิตรถยนต์ สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ ควรตรวจสอบคู่มือว่าชิ้นส่วนใดในระบบเกียร์ที่ต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์ เช่น ห้องเกียร์ธรรมดา เฟืองท้าย เพลาเกียร์ธรรมดา ห้องส่งกำลังระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ เฟืองลิมิเต็ด-สลิปดิฟเฟอร์เรนเชี่ยล หรือชิ้นส่วนอื่นๆ ซึ่งชิ้นส่วนแต่ละชิ้นต้องการการหล่อลื่นที่ต่างกันเพื่อสมรรถนะสูงสุดในการทำงาน

วันพุธที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2561

น้ำมันเพาเวอร์ควรดูแลอย่าให้ขาด

น้ำมันเพาเวอร์

              น้ำมันเพาเวอร์หรือน้ำมันเกียร์ออโต้
              พวงมาลัยเพาเวอร์”(Power steering system) คือระบบที่ช่วยทดกำลังการหมุนพวงมาลัย ไปในทิศทางต่างๆ ให้เบาลง เพื่อประโยชน์ในการหักเลี้ยวในพื้นที่แคบและความสะดวกสบายในการขับขี่ ในปัจจุบันยังแบ่งออกเป็น 2 แบบ

1.ระบบพวงมาลัยเพาเวอร์แบบไฮดรอลิก (Hydraulic Power Steering) ก็ตามชื่อเลยครับ ระบบนี้จะใช้ ปั๊มไฮดรอลิกสร้างกำลังส่งไปกระปุกพวงมาลัย หรือ แร็กพวงมาลัย เพื่อช่วยผ่อนแรงผู้ขับยามหักเลี้ยว โดยใช้แรงจากเครื่องยนต์หมุนผ่านสายพานมายังที่ปั๊มไฮดรอลิก

2.ระบบพวงมาลัยเพาเวอร์แบบไฟฟ้า EPS (Electric Power Steering) ระบบนี้จะใช้มอเตอร์ไฟฟ้าเป็นตัวสร้างกำลังช่วนผ่อนแรง กล่าวคือเมื่อผู้ขับขี่หักพวงมาลัยจะมีเซ็นเซอร์ ตรวจจับก่อนส่งให้กล่องควบคุมสั่งการให้มอเตอร์ทำงาน

ในที่นี้เราจะพูดถึงแบบแรกที่ต้องใช้น้ำมันเป็นตัวช่วยผ่อนแรงไฮดรอลิก

       เมื่อพวงมาลัยหนักกว่าปกติจำเป็นต้องตรวจเช็คน้ำมันในกระปุก
ใครๆก็สามารถเปลี่ยนน้ำมันเพาเวอร์เองได้

อุปกรณ์


tools

1. ถุงพลาสติค และหนังยาง
2. น้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์ (น้ำมันเกียร์) ขนาด 1 ลิตร
3. ถุงมือ
4. ขวดเปล่าขนาด 1.5 ลิตร
5. คีม


ขั้นตอนการเปลี่ยนน้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์

1. สังเกตที่กระปุกน้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์ จะมีสายยาง 2 เส้น ให้ถอดสายเส้นที่อยู่ด้านบนออกจากกระปุก
1.


2. ใช้ถุงพลาสติคหุ้ม ตรงรูกระปุกน้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์ที่ถอดสายยาง เพื่อไม่ให้น้ำมันไหลออก
2.


3. นำปลายสาย (เส้นที่ถอด) ใส่ลงไปที่ขวด
3.


4. สตาร์ทเครื่อง หมุนพวงมาลัยซ้าย/ขวาจนสุด หลายๆ รอบ
4.


5. น้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์จะไหลออกมา หมุนพวงมาลัยจนกว่าน้ำมันจะหยุดไหล
5.


6. ถอดถุงพลาสติค และใส่สายกลับไปยังตำแหน่งเดิมให้เรียบร้อย
6.


7. เปิดฝากระปุกน้ำมัน เติมน้ำมันลงไปจนถึงระดับ MAX หรือ HOT
7.


8. หมุนพวงมาลัยซ้าย/ขวา จนสุด หลายๆ รอบ อีกครั้ง เพื่อไล่อากาศออกให้หมด
8.


9. ถ้าน้ำมันพร่อง ให้เติมน้ำมันลงไปจนกว่าระดับน้ำมันจะคงที่ อยู่ในระดับ MAX หรือ HOT เป็นอันเสร็จ

9.

เรื่องโดย : พีรพัฒน์ อินทมาตย์
ภาพโดย : สายชล อรรถาเวช
นิตยสาร 4WHEELS ฉบับเดือน ตุลาคม ปี 2559

 ขอบคุณข้อมูลจากเว็บ www.autoinfo.co.th

http://akp-auto.lnwshop.com/product สนใจสินค้าเราเลือกชมได้เลยครับ

วันอังคารที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2561

น้ำมันเครื่อง มีอะไรบ้างใช้เบอร์อะไรดี

น้ำมันเครื่อง
      น้ำมันหล่อลื่น หรือ น้ำมันเครื่อง (motor oil, engine oil) ประกอบไปด้วย 2 ส่วนที่สำคัญคือ น้ำมันพื้นฐาน และสารเพิ่มคุณภาพ น้ำมันเครื่องมีหน้าที่ลดแรงเสียดทานของวัตถุชิ้นที่เสียดสีกัน ระบายความร้อนของเครื่องยนต์ เคลือบช่องว่างระหว่างผิวสัมผัส ทำความสะอาดเขม่าและเศษโลหะภายในเครื่องยนต์ ป้องกันการกัดกร่อนจากสนิมและกรดต่างๆ และป้องกันกำลังอัดของเครื่องยนต์รั่วไหล เป็นต้น


 แหล่งที่มาของน้ำมันพื้นฐานที่ใช้ทำมันเครื่องมี 3 แหล่งคือ
  1. น้ำมันที่สกัดจากพืช
  2. น้ำมันที่สกัดจากน้ำมันดิบ
  3. น้ำมันสังเคราะห์ น้ำมันชนิดนี้จะให้คุณภาพของน้ำมันเครื่องที่ดีที่สุด
  4. น้ำมันหล่อลื่น


    ค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงรถยนต์แทบทุก ๆ ปีก็คือการเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง  หนึ่งคำถามมักเกิดขึ้นในช่วงที่ต้องเลือก "น้ำมันเครื่อง ตัวไหนดี"  มันไม่ยากเลยครับที่จะทำความเข้าใจมัน
วันนี้ผมจึงนำความรู้เกี่ยวกับน้ำมันเครื่องมาบอกให้ทุกคนได้รู้เพิ่มและเข้าใจเกี่ยวกับมันให้มากขึ้นเพื่อจะได้สามารถใช้แบบอย่างได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพที่สุด


น้ำมันเครื่อง ที่มีทั้งหมด 3 ประเภทดังนี้

 1. น้ำมันเครื่องธรรมดา (Synthetic) ผลิตจากน้ำมันหล่อลื่นที่กลั่นจากน้ำมันปิโตรเลียม ใช้งานได้ประมาณ 3,000-5,000 กม.

           2. น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ (Semi Synthetic) ผลิตจากน้ำมันหล่อลื่นธรรมดากับชนิดสังเคราะห์ ใช้งานได้ประมาณ 5,000-7,000 กม.

           3. น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ (Fully Synthetic) ผลิตจากน้ำมันหล่อลื่นที่สังเคราะห์ จากน้ำมันปิโตรเลียม ใช้งานได้ประมาณ 7,000-10,000 กม.

 แน่นอนว่าของดีย่อมราคาแพงกว่า เพราะน้ำมันเครื่องแบบธรรมดาราคาประมาณหลักร้อย น้ำเครื่องสังเคราะห์ก็อยู่หลักพัน

ค่าของน้ำมันเบอร์อะไรเลือกอย่างไร 
 "SM" คือค่า API  (American Petroleum Institute Standard) กำหนดโดยสถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อเป็นมาตรฐานสำหรับน้ำมันเครื่องแบบสากลทั่วโลก

           มาตรฐาน API หากเป็นน้ำมันเครื่องาหรับเครื่องยนต์เบนซินจะขึ้นต้นด้วย "S" เช่น API SM หรือ API SL ส่วนมาตรฐานสำหรับเครื่องยนต์ดีเซลจะกำกับด้วย C เช่น API CJ-4 หรือ API CI-4 โดยเช็กรายละเอียดได้ที่นี่ www.api.org  (ยิ่งปีเก่าทั้งไหร่ก็มาตราฐานต่ำลง)

            API SM มาตรฐานคุณภาพระดับสูงสุดของน้ำมันหล่อลื่นเครื่องยนต์เบนซิน ประกาศใช้เมื่อปี 2004 (ตัวนี้อัพเกรดมาตราฐานจาก SL ให้มีคุณสมบัติเพิ่มขึ้น)

            API SL ประกาศใช้เมื่อปี 2004

            API SJ ประกาศใช้เมื่อปี 2001

            CJ-4 มาตรฐานคุณภาพระดับสูงสุดของน้ำมันหล่อลื่นเครื่องยนต์ดีเซล ประกาศใช้เมื่อปี 2006

            CI-4 ประกาศใช้เมื่อปี 2002

            CH-4 ประกาศใช้เมื่อปี 1998

           "10W-30" คือค่า SAE ย่อมาจาก The Soceity of Automotive Engineer ซึ่งเป็นสมาคมวิศวกรรมยานยนต์แห่งประเทศสหรัฐอเมริกา

           โดยค่าชุดเลขตัวแรก "10W" บอกค่าการทนความเย็นโดยของน้ำมันเครื่องดังนี้

            W = สามารถคงความข้นใสไว้ได้ต่ำกว่า -30 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข

            5W = สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง -30 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข

            10W = สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง -20 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข

            15W = สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง -10 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข

            20W = สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง 0 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข

           ชุดเลขตัวที่สอง "30" บอกถึงค่าความหนืดของน้ำมันเครื่องที่มีตั่งแต่ 60, 50, 40, 30, 20, 10 และ 5 โดยตัวเลขมีความหนืดมาก ตัวเลขน้อยมีความหนืดน้อยตามลำดับ โดยความหนืดของน้ำมันมีผลต่อการหล่อลื่นและช่วยลดการสึกหรอได้มากดังโดยความหนืดที่เหมาะสมสำหรับเครื่องยนต์ทั่วไปอยู่ที่ 30-50 ครับ


 - เลือกสูตรที่มีความสามารถพิเศษ
           น้ำมันเครื่องหลายชนิดในตอนนี้มีการบอกว่าเหมาะสมกับประเภทการใช้งานมาอีกด้วยตัวอย่างเช่น

             For NGV, LPG & Gasoline - สามารถใช้ได้ดีกว่าสำหรับรถที่ติดแก๊ส NGV และ LPG

             Heavy Duty - ใช้ได้ดีสำหรับที่บรรทุกของหนัก

ซึ่งตัวเลขหน้า คือ 0W, 5W, 10W และอื่นๆ จะมีประโยชน์กับเครื่องยนต์ขณะน้ำมันเครื่องเย็น หรือช่วง 20 นาทีแรกของการสตาร์ทเครื่องยนต์ เพราะขณะนั้น น้ำมันเครื่องจะมีอุณหภูมิต่ำ อีกทั้งเครื่องยนต์รุ่นใหม่สมัยใหม่มีดีไซด์ที่มีขนาดเครื่องยนต์เล็กลง ทำให้ชิ้นส่วนต่างๆของเครื่องยนต์ถูกบีบอัดให้เล็กตาม รวมทั้งท่อทางเดินน้ำมันเครื่องที่จะไหลไปหล่อลื่นและปกป้องส่วนต่างๆ ฉะนั้น ขณะสตาร์ทเครื่องยนต์ ชิ้นส่วนทุกส่วนหมุนแล้ว แต่บนเครื่องยนต์ยังไม่มีน้ำมันเครื่อง เนื่องจากแรงดึงดูดของโลกดึงน้ำมันเครื่องลงสู่อ่างน้ำมันเครื่องขณะที่เราดับเครื่องยนต์ค้างคืน จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องให้น้ำมันเครื่องวิ่งไปหล่อลื่นและป้องกันการเสียดสีของชิ้นส่วนให้เร็วที่สุด โดยเฉพาะชุดบนสุดของเครื่องยนต์ที่ภาษาช่างเรียกว่า ชุดกลไกกดวาล์ว เนื่องจากเป็นชิ้นส่วนที่มีเยอะที่สุด มีการเสียดสีรุนแรงที่สุด และเป็นจุดสุดท้ายที่น้ำมันเครื่องเดินทางมาถึง
ส่วนตัวเลข เช่น 20, 30, 40, 50 เป็นค่าความข้นใสหรือความหนาของฟิล์มน้ำมันที่จะอ้างอิงและมีประโยชน์กับเครื่องยนต์ขณะน้ำมันเครื่องร้อนถึง 100องศาC หรือติดเครื่องยนต์ไปแล้วประมาณ 20นาที หากเปรียบเทียบเปรียบเสมือนกับไซด์เสื้อผ้า แต่ละตัวเลขควรเลือกให้เหมาะสมกับเครื่องยนต์


ขณะน้ำมันเครื่องเย็น  ตัวเลขหน้า(0W) จะมีประโยชน์ในแง่การไหลเร็ว เพื่อลดการสึกหรอลดความร้อนจากการเสียดสีของชิ้นส่วน เบอร์น้อยฟิล์มบางไหลเร็ว เบอร์มากฟิล์มหนาไหลช้า

 ขณะน้ำมันเครื่องร้อน  ตัวเลขหลัง(20 หรือ 30) จะมีประโยชน์ในแง่ของการลดช่องว่างและการรับแรงเสียดสีและการตัดเฉือนจากการเคลื่อนที่เสียดสีของชิ้นส่วนต่างๆ ควรเลือกจากปัจจัยสำคัญนี้ คือ สภาพความสมบูรณ์ของเครื่องยนต์ และ ลักษณะการใช้งาน เช่น 
    - เครื่องยนต์ใหม่ มีความฟิต ช่องว่างระหว่างชิ้นส่วนมีน้อย ควรเลือกค่าน้อยๆๆ เพื่อประโยชน์มากมาย เช่น อัตราเร่ง ประหยัดเชื้อเพลิง อายุเปลี่ยนถ่ายยาวกว่า แต่ทุกอย่างต้องมีข้อเสีย คือ น้ำมันใสจะเล็ดรอดผ่านเข้าไปเผาไหม้ออกทางท่อไอเสียง่าย จึงกินน้ำมันเครื่องมากกว่า


    - เครื่องยนต์ปานกลางหรือเก่า ช่องว่างระหว่างชิ้นส่วนมีมาก ก็ควรเลือกฟิลฺ์มน้ำมันหนาหรือเบอร์มากๆ เพื่อช่วยลดช่องว่างและลดเสียงดัง ลดการสูญเสียกำลังอัดของเครื่องยนต์ ข้อดีคือ ฟิล์มหนาการสึกหรอต่ำ  กินน้ำมันเครื่องน้อย แต่ข้อเสีย วิ่งไม่ออก กินน้ำมันเชื้อเพลิง อายุเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องสั้นกว่า
อีกปัจจัยที่สำคัญคือ ลักษณะการใช้งาน นั้นคือ หากเราเป็นเครื่องยนต์ใหม่ เลือกน้ำมันเครื่องเพื่อลดการประหยัดเชื้อเพลิง ก็ต้องเลือกเบอร์น้ำมันที่มีค่าน้อย เช่น XW-20 เป็นต้น แต่หากนำเครื่องยนต์ใหม่ไปใช้งานรอบเครื่องยนต์สูงเป็นประจำ วิ่งเร็วมากๆ ขึ้นเขาลงเขา ทำให้ความร้อนสะสมในน้ำมันเครื่องสูง อาจทำให้น้ำมันเครื่องเบอร์ 20 อาจจะบางลง จึงควรเลือกเบอร์ 30 มาแก้ปัญหาแทน


สรุปคือถ้าเป็นเครื่องใหม่ก็ควรใช้เป็นหลังที่เป็นเบอร์ต่ำๆ น้ำมันใสหน่อย  เมื่อรถเก่าแล้วก็ควรเปลี่ยนไปใช้เบอร์มากขึ้นเพื่อให้น้ำมันมีความข้นขึ้น