น้ำมันเครื่อง
น้ำมันหล่อลื่น หรือ น้ำมันเครื่อง (motor oil, engine oil) ประกอบไปด้วย 2 ส่วนที่สำคัญคือ น้ำมันพื้นฐาน และสารเพิ่มคุณภาพ น้ำมันเครื่องมีหน้าที่ลดแรงเสียดทานของวัตถุชิ้นที่เสียดสีกัน ระบายความร้อนของเครื่องยนต์ เคลือบช่องว่างระหว่างผิวสัมผัส ทำความสะอาดเขม่าและเศษโลหะภายในเครื่องยนต์ ป้องกันการกัดกร่อนจากสนิมและกรดต่างๆ และป้องกันกำลังอัดของเครื่องยนต์รั่วไหล เป็นต้น
แหล่งที่มาของน้ำมันพื้นฐานที่ใช้ทำมันเครื่องมี 3 แหล่งคือ
- น้ำมันที่สกัดจากพืช
- น้ำมันที่สกัดจากน้ำมันดิบ
- น้ำมันสังเคราะห์ น้ำมันชนิดนี้จะให้คุณภาพของน้ำมันเครื่องที่ดีที่สุด
- น้ำมันหล่อลื่น
ค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงรถยนต์แทบทุก ๆ ปีก็คือการเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง หนึ่งคำถามมักเกิดขึ้นในช่วงที่ต้องเลือก "น้ำมันเครื่อง ตัวไหนดี" มันไม่ยากเลยครับที่จะทำความเข้าใจมัน
วันนี้ผมจึงนำความรู้เกี่ยวกับน้ำมันเครื่องมาบอกให้ทุกคนได้รู้เพิ่มและเข้าใจเกี่ยวกับมันให้มากขึ้นเพื่อจะได้สามารถใช้แบบอย่างได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพที่สุด
น้ำมันเครื่อง ที่มีทั้งหมด 3 ประเภทดังนี้
1. น้ำมันเครื่องธรรมดา (Synthetic) ผลิตจากน้ำมันหล่อลื่นที่กลั่นจากน้ำมันปิโตรเลียม ใช้งานได้ประมาณ 3,000-5,000 กม.
2. น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ (Semi Synthetic) ผลิตจากน้ำมันหล่อลื่นธรรมดากับชนิดสังเคราะห์ ใช้งานได้ประมาณ 5,000-7,000 กม.
3. น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ (Fully Synthetic) ผลิตจากน้ำมันหล่อลื่นที่สังเคราะห์ จากน้ำมันปิโตรเลียม ใช้งานได้ประมาณ 7,000-10,000 กม.
แน่นอนว่าของดีย่อมราคาแพงกว่า เพราะน้ำมันเครื่องแบบธรรมดาราคาประมาณหลักร้อย น้ำเครื่องสังเคราะห์ก็อยู่หลักพัน
ค่าของน้ำมันเบอร์อะไรเลือกอย่างไร
"SM" คือค่า API (American Petroleum Institute Standard) กำหนดโดยสถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อเป็นมาตรฐานสำหรับน้ำมันเครื่องแบบสากลทั่วโลก
มาตรฐาน API หากเป็นน้ำมันเครื่องาหรับเครื่องยนต์เบนซินจะขึ้นต้นด้วย "S" เช่น API SM หรือ API SL ส่วนมาตรฐานสำหรับเครื่องยนต์ดีเซลจะกำกับด้วย C เช่น API CJ-4 หรือ API CI-4 โดยเช็กรายละเอียดได้ที่นี่ www.api.org (ยิ่งปีเก่าทั้งไหร่ก็มาตราฐานต่ำลง)
API SM มาตรฐานคุณภาพระดับสูงสุดของน้ำมันหล่อลื่นเครื่องยนต์เบนซิน ประกาศใช้เมื่อปี 2004 (ตัวนี้อัพเกรดมาตราฐานจาก SL ให้มีคุณสมบัติเพิ่มขึ้น)
API SL ประกาศใช้เมื่อปี 2004
API SJ ประกาศใช้เมื่อปี 2001
CJ-4 มาตรฐานคุณภาพระดับสูงสุดของน้ำมันหล่อลื่นเครื่องยนต์ดีเซล ประกาศใช้เมื่อปี 2006
CI-4 ประกาศใช้เมื่อปี 2002
CH-4 ประกาศใช้เมื่อปี 1998
"10W-30" คือค่า SAE ย่อมาจาก The Soceity of Automotive Engineer ซึ่งเป็นสมาคมวิศวกรรมยานยนต์แห่งประเทศสหรัฐอเมริกา
โดยค่าชุดเลขตัวแรก "10W" บอกค่าการทนความเย็นโดยของน้ำมันเครื่องดังนี้
W = สามารถคงความข้นใสไว้ได้ต่ำกว่า -30 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข
5W = สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง -30 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข
10W = สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง -20 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข
15W = สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง -10 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข
20W = สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง 0 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข
ชุดเลขตัวที่สอง "30" บอกถึงค่าความหนืดของน้ำมันเครื่องที่มีตั่งแต่ 60, 50, 40, 30, 20, 10 และ 5 โดยตัวเลขมีความหนืดมาก ตัวเลขน้อยมีความหนืดน้อยตามลำดับ โดยความหนืดของน้ำมันมีผลต่อการหล่อลื่นและช่วยลดการสึกหรอได้มากดังโดยความหนืดที่เหมาะสมสำหรับเครื่องยนต์ทั่วไปอยู่ที่ 30-50 ครับ
- เลือกสูตรที่มีความสามารถพิเศษ
น้ำมันเครื่องหลายชนิดในตอนนี้มีการบอกว่าเหมาะสมกับประเภทการใช้งานมาอีกด้วยตัวอย่างเช่น
For NGV, LPG & Gasoline - สามารถใช้ได้ดีกว่าสำหรับรถที่ติดแก๊ส NGV และ LPG
Heavy Duty - ใช้ได้ดีสำหรับที่บรรทุกของหนัก
ซึ่งตัวเลขหน้า คือ 0W, 5W, 10W และอื่นๆ จะมีประโยชน์กับเครื่องยนต์ขณะน้ำมันเครื่องเย็น หรือช่วง 20 นาทีแรกของการสตาร์ทเครื่องยนต์ เพราะขณะนั้น น้ำมันเครื่องจะมีอุณหภูมิต่ำ อีกทั้งเครื่องยนต์รุ่นใหม่สมัยใหม่มีดีไซด์ที่มีขนาดเครื่องยนต์เล็กลง ทำให้ชิ้นส่วนต่างๆของเครื่องยนต์ถูกบีบอัดให้เล็กตาม รวมทั้งท่อทางเดินน้ำมันเครื่องที่จะไหลไปหล่อลื่นและปกป้องส่วนต่างๆ ฉะนั้น ขณะสตาร์ทเครื่องยนต์ ชิ้นส่วนทุกส่วนหมุนแล้ว แต่บนเครื่องยนต์ยังไม่มีน้ำมันเครื่อง เนื่องจากแรงดึงดูดของโลกดึงน้ำมันเครื่องลงสู่อ่างน้ำมันเครื่องขณะที่เราดับเครื่องยนต์ค้างคืน จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องให้น้ำมันเครื่องวิ่งไปหล่อลื่นและป้องกันการเสียดสีของชิ้นส่วนให้เร็วที่สุด โดยเฉพาะชุดบนสุดของเครื่องยนต์ที่ภาษาช่างเรียกว่า ชุดกลไกกดวาล์ว เนื่องจากเป็นชิ้นส่วนที่มีเยอะที่สุด มีการเสียดสีรุนแรงที่สุด และเป็นจุดสุดท้ายที่น้ำมันเครื่องเดินทางมาถึง
ส่วนตัวเลข เช่น 20, 30, 40, 50 เป็นค่าความข้นใสหรือความหนาของฟิล์มน้ำมันที่จะอ้างอิงและมีประโยชน์กับเครื่องยนต์ขณะน้ำมันเครื่องร้อนถึง 100องศาC หรือติดเครื่องยนต์ไปแล้วประมาณ 20นาที หากเปรียบเทียบเปรียบเสมือนกับไซด์เสื้อผ้า แต่ละตัวเลขควรเลือกให้เหมาะสมกับเครื่องยนต์
ขณะน้ำมันเครื่องเย็น ตัวเลขหน้า(0W) จะมีประโยชน์ในแง่การไหลเร็ว เพื่อลดการสึกหรอลดความร้อนจากการเสียดสีของชิ้นส่วน เบอร์น้อยฟิล์มบางไหลเร็ว เบอร์มากฟิล์มหนาไหลช้า
ขณะน้ำมันเครื่องร้อน ตัวเลขหลัง(20 หรือ 30) จะมีประโยชน์ในแง่ของการลดช่องว่างและการรับแรงเสียดสีและการตัดเฉือนจากการเคลื่อนที่เสียดสีของชิ้นส่วนต่างๆ ควรเลือกจากปัจจัยสำคัญนี้ คือ สภาพความสมบูรณ์ของเครื่องยนต์ และ ลักษณะการใช้งาน เช่น
- เครื่องยนต์ใหม่ มีความฟิต ช่องว่างระหว่างชิ้นส่วนมีน้อย ควรเลือกค่าน้อยๆๆ เพื่อประโยชน์มากมาย เช่น อัตราเร่ง ประหยัดเชื้อเพลิง อายุเปลี่ยนถ่ายยาวกว่า แต่ทุกอย่างต้องมีข้อเสีย คือ น้ำมันใสจะเล็ดรอดผ่านเข้าไปเผาไหม้ออกทางท่อไอเสียง่าย จึงกินน้ำมันเครื่องมากกว่า
- เครื่องยนต์ปานกลางหรือเก่า ช่องว่างระหว่างชิ้นส่วนมีมาก ก็ควรเลือกฟิลฺ์มน้ำมันหนาหรือเบอร์มากๆ เพื่อช่วยลดช่องว่างและลดเสียงดัง ลดการสูญเสียกำลังอัดของเครื่องยนต์ ข้อดีคือ ฟิล์มหนาการสึกหรอต่ำ กินน้ำมันเครื่องน้อย แต่ข้อเสีย วิ่งไม่ออก กินน้ำมันเชื้อเพลิง อายุเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องสั้นกว่า
อีกปัจจัยที่สำคัญคือ ลักษณะการใช้งาน นั้นคือ หากเราเป็นเครื่องยนต์ใหม่ เลือกน้ำมันเครื่องเพื่อลดการประหยัดเชื้อเพลิง ก็ต้องเลือกเบอร์น้ำมันที่มีค่าน้อย เช่น XW-20 เป็นต้น แต่หากนำเครื่องยนต์ใหม่ไปใช้งานรอบเครื่องยนต์สูงเป็นประจำ วิ่งเร็วมากๆ ขึ้นเขาลงเขา ทำให้ความร้อนสะสมในน้ำมันเครื่องสูง อาจทำให้น้ำมันเครื่องเบอร์ 20 อาจจะบางลง จึงควรเลือกเบอร์ 30 มาแก้ปัญหาแทน
สรุปคือถ้าเป็นเครื่องใหม่ก็ควรใช้เป็นหลังที่เป็นเบอร์ต่ำๆ น้ำมันใสหน่อย เมื่อรถเก่าแล้วก็ควรเปลี่ยนไปใช้เบอร์มากขึ้นเพื่อให้น้ำมันมีความข้นขึ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น