วันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2561

ขับรถฝนตกแรงแค่ใหนก็ไม่กลัวอุบัติเหตุ

         เวลาขับรถเมื่อฝนตกหลายท่านอาจเจอปัญหากระจกรถเป็นฝ้า ทำให้ทัศนวิสัยในการขับรถลดลงได้และอาจจะเป็นสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุได้ ทีนี้เราลองมาทำความเข้าใจและแก้ปัญหาดีกว่า

ฝ้ากระจกเกิดได้อย่างไร

 ฝ้าอาจจะเกิดที่กระจกรถยนต์ของเรานั้นเกิดขึ้น 2 แบบ คือ
  • ฝ้าเกาะที่ผิวด้านนอกกระจก (นอกตัวรถ) เกิดเพราะ อากาศภายในตัวห้องโดยสารรถยนต์เย็นกว่าอากาศรอบนอกตัวรถยนต์ ส่งผลให้ที่ผิวกระจกด้านในเย็นกว่าผิวกระจกด้านนอก อากาศรอบผิวกระจกด้านนอกจะเย็นลงตาม และไอน้ำในอากาศจะจับตัวกันที่ผิวกระจกเกิดเป็นฝ้าขึ้น มักเกิดเวลาที่ฝนตก ซึ่งอากาศภายนอกมีความชื้นสูง
  • ฝ้าเกาะที่ผิวด้านในกระจก (ในตัวรถ) เกิดเพราะ อากาศรอบนอกตัวรถยนต์เย็นกว่าอากาศภายในตัวห้องโดยสารรถยนต์ มักเกิดในช่วงหน้าหนาว ความชื้นในอากาศรอบนอกทั่ว ๆ ไปจะต่ำ

การแก้ปัญหาคือ ต้องพยายามทำให้อุณหภูมิที่ผิวกระจกทั้งด้านนอกและด้านในมีอุณหภูมิใกล้เคียงกัน
  1.  การปรับเพิ่ม-ลดความเย็นแอร์รถยนต์ ถ้าเกิดฝ้าในรถให้เราเร่งแอร์ให้เย็นขึ้น
  2.  การปรับแง้มกระจกเพื่อให้ลมจากภาพนอกเข้ามาเพื่อทำให้อุณหภูมิใกล้เคียงกัน
  3.  การปรับทิศทางลมแอร์ไม่ให้หันไปทางกระจก
  4.  การใช้ที่ปัดน้ำฝน
  5.  การใช้ผ้าเช็ด
แล้วถ้าฝนตกแรงน้ำที่กระจกก็เป็นปัญหาต่อวิสัยในการขับรถอยู่ดี
ถ้าเป็นแบบนี้ผมแนะนำการให้น้ำยาเคลือบกระจกรถเป็นสิ่งที่ดีมากที่สุด

ข้อดีของการเคลือบกระจกรถยนต์

1.ป้องกันน้ำเกาะกระจกรถ ถือเป็นคุณสมบัติเด่นอย่างแรกที่มีประโยชน์อย่างมาก ที่สำคัญเมื่อคุณต้องขับรถเวลาฝนตก ด้วยความเร็วประมาณ 45 กม./ชม.ขึ้นไป เม็ดน้ำฝนที่เคยตกบนกระจกเป็นเม็ดๆ จะวิ่งไหลลื่นผ่านกระจกไป โดยที่ไม่ต้องปัดน้ำฝน ช่วยเพิ่มทัศนะวิสัยในการขับขี่ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
2.ช่วยป้องกันฝนกรด หรือคราบหินปูนที่อาจจะกัดกร่อนเข้าเนื้อกระจกได้ นอกจากจะช่วยเพิ่มทัศนวิสัยในการขับขี่ที่ปลอดภัยแล้ว
3.ป้องกันการฝังตัวของ เขม่า ควัน ฝุ่นละอองที่หน้ากระจก คงความชัดใส ปลอดภัยตลอดการขับขี่
4.ในบางยี่ห้อยังป้องกันการเกิดฝ้ามัวของกระจกได้อีกด้วย


วิธีการเคลือบกระจกรถยนต์
การเคลือบกระจกรถยนต์นั้นไม่ใช่เรื่องยากเลยสำหรับคนรักรถอย่างเรา ถึงแม้จะมีหลายขั้นตอนด้วยกัน แต่ผลลัพธ์ที่ออกมานั้นรับรองว่าคุ้มค่าจริงๆ
1.ให้ยกใบปัดน้ำฝนของรถคุณขึ้นทั้งสองข้าง
2.ล้างกระจกรถคุณให้สะอาด ด้วยแชมพูล้างรถทั่วๆไป ระหว่างล้างลองเอามือลูบๆบนผิวกระจกดูว่ามีสิ่งสกปรกติดอยู่หรือไม่ ถ้ามีให้ทำความสะอาด จนผิวกระจกเรียบเสมอกันทั้งบาน
3.ให้ล้างแชมพูออกด้วยน้ำเปล่า และใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์เช็ดให้แห้ง
4.จากนั้นให้เริ่มทาน้ำยาเคลือบกระจกลงบนกระจกทีละส่วน โดยไล่จากบนลงล่าง จนทั่วทั้งบานกระจกรถ แล้วทิ้งไว้ให้น้ำยาเซ็ตตัวประมาณ 5 นาที (ระวังอย่าให้โดนสี และชิ้นส่วนอื่นๆที่ไม่ใช่กระจก) ถ้าโดนควรเช็ดออกทันที
ทำความสะอาดกระจกด้วยน้ำยาเช็ดกระจกอีกทีนึง และเช็ดให้แห้งสนิท
5.จากนั้นค่อยเช็ดกระจกด้วยผ้าไมโครไฟเบอร์จนกระจกใสดังเดิม และไม่หลงเหลือคราบฝ้าของน้ำยาเคลือบบนกระจกรถเท่านี้ก็เป็นอันเสร็จสิ้นขั้นตอนการเคลือบกระจกรถยนต์เป็นที่เรียบร้อย

http://akp-auto.lnwshop.com/product/น้ำยาไล่น้ำฝน

วันจันทร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2561

เลือกใช้จารบีให้ถูกกับงาน

จารบี

เบอร์จาระบี จะแสดงว่าเมื่อเบอร์จาระบีสูงขึ้น จาระบีจะมีสภาพแข็งขึ้น ส่วนระยะจมนั้นแสดงถึงความลึกของกรวยที่จมลงในจาระบี ถ้าระยะจมมาก แดสงว่าจาระบีมีสภาพอ่อนนิ่มกว่าระยะจมน้อย ความอ่อนแข็งของจาระบีขึ้นกับเปอร์เซนต์ของสบู่และความหนืดของน้ำมันพื้นฐาน

การเลือกใช้จาระบี

จาระบีที่จำหน่ายอยู่ในท้องตลาดมีอยู่หลายประเภท ควรเลือกใช้ให้ถูกต้องและเหมาะสมกับการใช้งานดังนี้
  • สัมผัสกับน้ำและความชื้นหรือไม่ ถ้าสัมผัสหรือเกี่ยวข้องต้องเลือกใช้จาระบีประเภททนน้ำ ถ้าเลือกใช้ผิดประเภท จาระบีจะถูกดูดความชื้นหรือน้ำ ทำให้เยิ้มหลุดออกจากจุดหล่อลื่นได้
  • อุณหภูมิใช้งานสูงมากน้อยแค่ไหน จุดใช้งานที่อุณหภูมิสูงกว่า80°Cควรเลือกใช้จาระบีประเภททนความร้อน ถ้าเลือกใช้ไม่ถูกต้อง จาระบีจะเยิ้มเหลวไหลทะลักออกมาจากจุดหล่อลื่น
  • ในกรณีที่สัมผัสทั้งน้ำและความร้อน ควรเลือกใช้จาระบีประเภทอเนกประสงค์ (Multipurpose)คุณภาพดี หรือ จาระบีคอมเพล็กซ์(Complex)ซึ่งราคาย่อมแพงกว่าจาระบีประเภททนน้ำหรือความร้อนเพียงอย่างเดียว
  • มีแรงกดแรงกระแทกระหว่างการใช้งาน ถ้ามีมากควรพิจารณาเลือกใช้จาระบีประเภทผสมสารรับแรงกดแรงกระแทก (EP Additives)
  • สภาพแวดล้อมทั่วไป เช่น ถ้ามีฝุ่นละอองและสกปรกหรืออุณหภูมิสูงมาก จะเป็นปัจจัยสำคัญทำให้ต้องอัดจาระบีบ่อยครั้งขึ้น

การเลือกใช้เบอร์จาระบี วิธีการนำจาระบีไปใช้งานซึ่งมีอยู่หลายแบบถ้าเป็นระบบแบบจุดจ่ายกลาง (Centralized System) ที่ใช้ปั๊มป้อนจาระบีไปยังจุดที่ใช้หล่อลื่นต่าง ๆ ก็ควรใช้จาระบีอ่อน หรือ เบอร์0 หรือเบอร์1 ถ้าอัดด้วยมือหรือปืนอัด อาจใช้เบอร์2 หรือเบอร์3 หรือแข็งกว่านี้ ถ้าป้ายหรือทาด้วยมือความอ่อนแข็งไม่สำคัญมากนัก นอกจากนั้นถ้าเป็นพวกกระปุกเฟืองเกียร์ที่ใช้จาระบีหล่อลื่น ก็ควรใช้จาระบีประเภทอ่อน คือเบอร์0 หรือเบอร์1

http://akp-auto.lnwshop.com จารบี

วันศุกร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2561

น้ำมันเกียร์ สำคัญยิ่งกว่าน้ำมันเครื่อง

น้ำมันเกียร์
       ปัจจุบันระบบเกียร์ธรรมดาสำหรับยานยนต์ที่ใช้กันอยู่ ได้ถูกพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ชิ้นส่วนฟันเกียร์มีความแข็งแรงมากขึ้นและมีขนาดเล็กลง นอกจากนี้ยังเพิ่มความแข็งแรงของเฟืองเกียร์ด้วยการเคลือบสารเพิ่มความแข็งแรง ทำให้สามารถรองรับภาระงานที่หนักได้ และเพิ่มการประหยัดเชื้อเพลิงโดยการเพิ่มชุดขับเคลื่อนเกียร์ให้มากขึ้นอีกด้วยทำให้ขับเคลื่อนได้ดีขึ้น

        นอกจากชิ้นส่วนเฟืองเกียร์จะมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องแล้วสิ่งสำคัญอีกสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ในระบบเกียร์ และได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกันก็คือ “น้ำมันเกียร์”

        การใช้น้ำมันเครื่องต่างจากที่ผู้ผลิตรถกำหนดไว้ ถึงจะผิดจริง เช่น เอาน้ำมันสำหรับเครื่องดีเซล มาใส่เครื่องเบนซิน หรือว่ากลับกัน หรือค่าความหนืดไม่เหมาะ ก็ไม่เกิดความเสียหายครับ การหล่อลื่นอาจจะไม่ได้ผลเต็มที่เท่านั้นเอง แต่การเอาน้ำมันเกียร์ชนิดอื่นมาใส่เกียร์ ซีวีที เกียร์ของคุณจะชำรุดหมดทางแก้ไขในเวลาอันสั้น และอีกอย่างแน่นอนด้วย ถ้าจะยกตัวอย่างให้เข้าใจง่าย ก็น่าจะระดับเดียวกับการเอาน้ำมันพืชสำหรับปรุงอาหาร มาใส่แทนน้ำมันกียร์ของเกียร์ธรรมดา

       SAE 90 คือน้ำมันเกียร์ธรรมดา
       SAE 140 คือเกียร์เฟืองท้าย
        GL-5 คือมาตรฐาน เกรด ที่ใช้กับเกียร์ ไฮปอยล์ (HP)

น้ำมันเกียร์มีความสำคัญอย่างมากต่อระบบเกียร์ ดังนั้นท่านควรจะเลือกใช้น้ำมันเกียร์ตามคำแนะนำในคู่มือและคำแนะนำในการบำรุงรักษาของผู้ผลิตรถยนต์ สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ ควรตรวจสอบคู่มือว่าชิ้นส่วนใดในระบบเกียร์ที่ต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์ เช่น ห้องเกียร์ธรรมดา เฟืองท้าย เพลาเกียร์ธรรมดา ห้องส่งกำลังระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ เฟืองลิมิเต็ด-สลิปดิฟเฟอร์เรนเชี่ยล หรือชิ้นส่วนอื่นๆ ซึ่งชิ้นส่วนแต่ละชิ้นต้องการการหล่อลื่นที่ต่างกันเพื่อสมรรถนะสูงสุดในการทำงาน

วันพุธที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2561

น้ำมันเพาเวอร์ควรดูแลอย่าให้ขาด

น้ำมันเพาเวอร์

              น้ำมันเพาเวอร์หรือน้ำมันเกียร์ออโต้
              พวงมาลัยเพาเวอร์”(Power steering system) คือระบบที่ช่วยทดกำลังการหมุนพวงมาลัย ไปในทิศทางต่างๆ ให้เบาลง เพื่อประโยชน์ในการหักเลี้ยวในพื้นที่แคบและความสะดวกสบายในการขับขี่ ในปัจจุบันยังแบ่งออกเป็น 2 แบบ

1.ระบบพวงมาลัยเพาเวอร์แบบไฮดรอลิก (Hydraulic Power Steering) ก็ตามชื่อเลยครับ ระบบนี้จะใช้ ปั๊มไฮดรอลิกสร้างกำลังส่งไปกระปุกพวงมาลัย หรือ แร็กพวงมาลัย เพื่อช่วยผ่อนแรงผู้ขับยามหักเลี้ยว โดยใช้แรงจากเครื่องยนต์หมุนผ่านสายพานมายังที่ปั๊มไฮดรอลิก

2.ระบบพวงมาลัยเพาเวอร์แบบไฟฟ้า EPS (Electric Power Steering) ระบบนี้จะใช้มอเตอร์ไฟฟ้าเป็นตัวสร้างกำลังช่วนผ่อนแรง กล่าวคือเมื่อผู้ขับขี่หักพวงมาลัยจะมีเซ็นเซอร์ ตรวจจับก่อนส่งให้กล่องควบคุมสั่งการให้มอเตอร์ทำงาน

ในที่นี้เราจะพูดถึงแบบแรกที่ต้องใช้น้ำมันเป็นตัวช่วยผ่อนแรงไฮดรอลิก

       เมื่อพวงมาลัยหนักกว่าปกติจำเป็นต้องตรวจเช็คน้ำมันในกระปุก
ใครๆก็สามารถเปลี่ยนน้ำมันเพาเวอร์เองได้

อุปกรณ์


tools

1. ถุงพลาสติค และหนังยาง
2. น้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์ (น้ำมันเกียร์) ขนาด 1 ลิตร
3. ถุงมือ
4. ขวดเปล่าขนาด 1.5 ลิตร
5. คีม


ขั้นตอนการเปลี่ยนน้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์

1. สังเกตที่กระปุกน้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์ จะมีสายยาง 2 เส้น ให้ถอดสายเส้นที่อยู่ด้านบนออกจากกระปุก
1.


2. ใช้ถุงพลาสติคหุ้ม ตรงรูกระปุกน้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์ที่ถอดสายยาง เพื่อไม่ให้น้ำมันไหลออก
2.


3. นำปลายสาย (เส้นที่ถอด) ใส่ลงไปที่ขวด
3.


4. สตาร์ทเครื่อง หมุนพวงมาลัยซ้าย/ขวาจนสุด หลายๆ รอบ
4.


5. น้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์จะไหลออกมา หมุนพวงมาลัยจนกว่าน้ำมันจะหยุดไหล
5.


6. ถอดถุงพลาสติค และใส่สายกลับไปยังตำแหน่งเดิมให้เรียบร้อย
6.


7. เปิดฝากระปุกน้ำมัน เติมน้ำมันลงไปจนถึงระดับ MAX หรือ HOT
7.


8. หมุนพวงมาลัยซ้าย/ขวา จนสุด หลายๆ รอบ อีกครั้ง เพื่อไล่อากาศออกให้หมด
8.


9. ถ้าน้ำมันพร่อง ให้เติมน้ำมันลงไปจนกว่าระดับน้ำมันจะคงที่ อยู่ในระดับ MAX หรือ HOT เป็นอันเสร็จ

9.

เรื่องโดย : พีรพัฒน์ อินทมาตย์
ภาพโดย : สายชล อรรถาเวช
นิตยสาร 4WHEELS ฉบับเดือน ตุลาคม ปี 2559

 ขอบคุณข้อมูลจากเว็บ www.autoinfo.co.th

http://akp-auto.lnwshop.com/product สนใจสินค้าเราเลือกชมได้เลยครับ

วันอังคารที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2561

น้ำมันเครื่อง มีอะไรบ้างใช้เบอร์อะไรดี

น้ำมันเครื่อง
      น้ำมันหล่อลื่น หรือ น้ำมันเครื่อง (motor oil, engine oil) ประกอบไปด้วย 2 ส่วนที่สำคัญคือ น้ำมันพื้นฐาน และสารเพิ่มคุณภาพ น้ำมันเครื่องมีหน้าที่ลดแรงเสียดทานของวัตถุชิ้นที่เสียดสีกัน ระบายความร้อนของเครื่องยนต์ เคลือบช่องว่างระหว่างผิวสัมผัส ทำความสะอาดเขม่าและเศษโลหะภายในเครื่องยนต์ ป้องกันการกัดกร่อนจากสนิมและกรดต่างๆ และป้องกันกำลังอัดของเครื่องยนต์รั่วไหล เป็นต้น


 แหล่งที่มาของน้ำมันพื้นฐานที่ใช้ทำมันเครื่องมี 3 แหล่งคือ
  1. น้ำมันที่สกัดจากพืช
  2. น้ำมันที่สกัดจากน้ำมันดิบ
  3. น้ำมันสังเคราะห์ น้ำมันชนิดนี้จะให้คุณภาพของน้ำมันเครื่องที่ดีที่สุด
  4. น้ำมันหล่อลื่น


    ค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงรถยนต์แทบทุก ๆ ปีก็คือการเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง  หนึ่งคำถามมักเกิดขึ้นในช่วงที่ต้องเลือก "น้ำมันเครื่อง ตัวไหนดี"  มันไม่ยากเลยครับที่จะทำความเข้าใจมัน
วันนี้ผมจึงนำความรู้เกี่ยวกับน้ำมันเครื่องมาบอกให้ทุกคนได้รู้เพิ่มและเข้าใจเกี่ยวกับมันให้มากขึ้นเพื่อจะได้สามารถใช้แบบอย่างได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพที่สุด


น้ำมันเครื่อง ที่มีทั้งหมด 3 ประเภทดังนี้

 1. น้ำมันเครื่องธรรมดา (Synthetic) ผลิตจากน้ำมันหล่อลื่นที่กลั่นจากน้ำมันปิโตรเลียม ใช้งานได้ประมาณ 3,000-5,000 กม.

           2. น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ (Semi Synthetic) ผลิตจากน้ำมันหล่อลื่นธรรมดากับชนิดสังเคราะห์ ใช้งานได้ประมาณ 5,000-7,000 กม.

           3. น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ (Fully Synthetic) ผลิตจากน้ำมันหล่อลื่นที่สังเคราะห์ จากน้ำมันปิโตรเลียม ใช้งานได้ประมาณ 7,000-10,000 กม.

 แน่นอนว่าของดีย่อมราคาแพงกว่า เพราะน้ำมันเครื่องแบบธรรมดาราคาประมาณหลักร้อย น้ำเครื่องสังเคราะห์ก็อยู่หลักพัน

ค่าของน้ำมันเบอร์อะไรเลือกอย่างไร 
 "SM" คือค่า API  (American Petroleum Institute Standard) กำหนดโดยสถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อเป็นมาตรฐานสำหรับน้ำมันเครื่องแบบสากลทั่วโลก

           มาตรฐาน API หากเป็นน้ำมันเครื่องาหรับเครื่องยนต์เบนซินจะขึ้นต้นด้วย "S" เช่น API SM หรือ API SL ส่วนมาตรฐานสำหรับเครื่องยนต์ดีเซลจะกำกับด้วย C เช่น API CJ-4 หรือ API CI-4 โดยเช็กรายละเอียดได้ที่นี่ www.api.org  (ยิ่งปีเก่าทั้งไหร่ก็มาตราฐานต่ำลง)

            API SM มาตรฐานคุณภาพระดับสูงสุดของน้ำมันหล่อลื่นเครื่องยนต์เบนซิน ประกาศใช้เมื่อปี 2004 (ตัวนี้อัพเกรดมาตราฐานจาก SL ให้มีคุณสมบัติเพิ่มขึ้น)

            API SL ประกาศใช้เมื่อปี 2004

            API SJ ประกาศใช้เมื่อปี 2001

            CJ-4 มาตรฐานคุณภาพระดับสูงสุดของน้ำมันหล่อลื่นเครื่องยนต์ดีเซล ประกาศใช้เมื่อปี 2006

            CI-4 ประกาศใช้เมื่อปี 2002

            CH-4 ประกาศใช้เมื่อปี 1998

           "10W-30" คือค่า SAE ย่อมาจาก The Soceity of Automotive Engineer ซึ่งเป็นสมาคมวิศวกรรมยานยนต์แห่งประเทศสหรัฐอเมริกา

           โดยค่าชุดเลขตัวแรก "10W" บอกค่าการทนความเย็นโดยของน้ำมันเครื่องดังนี้

            W = สามารถคงความข้นใสไว้ได้ต่ำกว่า -30 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข

            5W = สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง -30 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข

            10W = สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง -20 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข

            15W = สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง -10 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข

            20W = สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง 0 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข

           ชุดเลขตัวที่สอง "30" บอกถึงค่าความหนืดของน้ำมันเครื่องที่มีตั่งแต่ 60, 50, 40, 30, 20, 10 และ 5 โดยตัวเลขมีความหนืดมาก ตัวเลขน้อยมีความหนืดน้อยตามลำดับ โดยความหนืดของน้ำมันมีผลต่อการหล่อลื่นและช่วยลดการสึกหรอได้มากดังโดยความหนืดที่เหมาะสมสำหรับเครื่องยนต์ทั่วไปอยู่ที่ 30-50 ครับ


 - เลือกสูตรที่มีความสามารถพิเศษ
           น้ำมันเครื่องหลายชนิดในตอนนี้มีการบอกว่าเหมาะสมกับประเภทการใช้งานมาอีกด้วยตัวอย่างเช่น

             For NGV, LPG & Gasoline - สามารถใช้ได้ดีกว่าสำหรับรถที่ติดแก๊ส NGV และ LPG

             Heavy Duty - ใช้ได้ดีสำหรับที่บรรทุกของหนัก

ซึ่งตัวเลขหน้า คือ 0W, 5W, 10W และอื่นๆ จะมีประโยชน์กับเครื่องยนต์ขณะน้ำมันเครื่องเย็น หรือช่วง 20 นาทีแรกของการสตาร์ทเครื่องยนต์ เพราะขณะนั้น น้ำมันเครื่องจะมีอุณหภูมิต่ำ อีกทั้งเครื่องยนต์รุ่นใหม่สมัยใหม่มีดีไซด์ที่มีขนาดเครื่องยนต์เล็กลง ทำให้ชิ้นส่วนต่างๆของเครื่องยนต์ถูกบีบอัดให้เล็กตาม รวมทั้งท่อทางเดินน้ำมันเครื่องที่จะไหลไปหล่อลื่นและปกป้องส่วนต่างๆ ฉะนั้น ขณะสตาร์ทเครื่องยนต์ ชิ้นส่วนทุกส่วนหมุนแล้ว แต่บนเครื่องยนต์ยังไม่มีน้ำมันเครื่อง เนื่องจากแรงดึงดูดของโลกดึงน้ำมันเครื่องลงสู่อ่างน้ำมันเครื่องขณะที่เราดับเครื่องยนต์ค้างคืน จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องให้น้ำมันเครื่องวิ่งไปหล่อลื่นและป้องกันการเสียดสีของชิ้นส่วนให้เร็วที่สุด โดยเฉพาะชุดบนสุดของเครื่องยนต์ที่ภาษาช่างเรียกว่า ชุดกลไกกดวาล์ว เนื่องจากเป็นชิ้นส่วนที่มีเยอะที่สุด มีการเสียดสีรุนแรงที่สุด และเป็นจุดสุดท้ายที่น้ำมันเครื่องเดินทางมาถึง
ส่วนตัวเลข เช่น 20, 30, 40, 50 เป็นค่าความข้นใสหรือความหนาของฟิล์มน้ำมันที่จะอ้างอิงและมีประโยชน์กับเครื่องยนต์ขณะน้ำมันเครื่องร้อนถึง 100องศาC หรือติดเครื่องยนต์ไปแล้วประมาณ 20นาที หากเปรียบเทียบเปรียบเสมือนกับไซด์เสื้อผ้า แต่ละตัวเลขควรเลือกให้เหมาะสมกับเครื่องยนต์


ขณะน้ำมันเครื่องเย็น  ตัวเลขหน้า(0W) จะมีประโยชน์ในแง่การไหลเร็ว เพื่อลดการสึกหรอลดความร้อนจากการเสียดสีของชิ้นส่วน เบอร์น้อยฟิล์มบางไหลเร็ว เบอร์มากฟิล์มหนาไหลช้า

 ขณะน้ำมันเครื่องร้อน  ตัวเลขหลัง(20 หรือ 30) จะมีประโยชน์ในแง่ของการลดช่องว่างและการรับแรงเสียดสีและการตัดเฉือนจากการเคลื่อนที่เสียดสีของชิ้นส่วนต่างๆ ควรเลือกจากปัจจัยสำคัญนี้ คือ สภาพความสมบูรณ์ของเครื่องยนต์ และ ลักษณะการใช้งาน เช่น 
    - เครื่องยนต์ใหม่ มีความฟิต ช่องว่างระหว่างชิ้นส่วนมีน้อย ควรเลือกค่าน้อยๆๆ เพื่อประโยชน์มากมาย เช่น อัตราเร่ง ประหยัดเชื้อเพลิง อายุเปลี่ยนถ่ายยาวกว่า แต่ทุกอย่างต้องมีข้อเสีย คือ น้ำมันใสจะเล็ดรอดผ่านเข้าไปเผาไหม้ออกทางท่อไอเสียง่าย จึงกินน้ำมันเครื่องมากกว่า


    - เครื่องยนต์ปานกลางหรือเก่า ช่องว่างระหว่างชิ้นส่วนมีมาก ก็ควรเลือกฟิลฺ์มน้ำมันหนาหรือเบอร์มากๆ เพื่อช่วยลดช่องว่างและลดเสียงดัง ลดการสูญเสียกำลังอัดของเครื่องยนต์ ข้อดีคือ ฟิล์มหนาการสึกหรอต่ำ  กินน้ำมันเครื่องน้อย แต่ข้อเสีย วิ่งไม่ออก กินน้ำมันเชื้อเพลิง อายุเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องสั้นกว่า
อีกปัจจัยที่สำคัญคือ ลักษณะการใช้งาน นั้นคือ หากเราเป็นเครื่องยนต์ใหม่ เลือกน้ำมันเครื่องเพื่อลดการประหยัดเชื้อเพลิง ก็ต้องเลือกเบอร์น้ำมันที่มีค่าน้อย เช่น XW-20 เป็นต้น แต่หากนำเครื่องยนต์ใหม่ไปใช้งานรอบเครื่องยนต์สูงเป็นประจำ วิ่งเร็วมากๆ ขึ้นเขาลงเขา ทำให้ความร้อนสะสมในน้ำมันเครื่องสูง อาจทำให้น้ำมันเครื่องเบอร์ 20 อาจจะบางลง จึงควรเลือกเบอร์ 30 มาแก้ปัญหาแทน


สรุปคือถ้าเป็นเครื่องใหม่ก็ควรใช้เป็นหลังที่เป็นเบอร์ต่ำๆ น้ำมันใสหน่อย  เมื่อรถเก่าแล้วก็ควรเปลี่ยนไปใช้เบอร์มากขึ้นเพื่อให้น้ำมันมีความข้นขึ้น

กรองโซล่า

กรองโซล่า
          เพื่อให้เครื่องยนต์​มีการทำงานที่ปกติ สารพัดไส้กรองในรถยนต์ถูกออกแบบมาเพื่อกรองสิ่งสกปรกพวกฝุ่นผง ละอองอนูโลหะไม่ให้เข้าไปปะปนกับชิ้นส่วนต่างๆ ที่กำลังทำงานในขณะขับเคลื่อน ไส้กรองจึงมีความสำคัญและมีความจำเป็นในการใช้งานยานพาหนะ บางท่านไม่มีเวลาตรวจสอบ หรือละเลยที่จะใส่ใจดูแลโดยไม่ได้เห็นความสำคัญของไส้กรองต่างๆไม่ว่าจะเป็นไส้กรองน้ำมันเครื่อง ไส้กรองน้ำมันเบนซินหรือดีเซล ไส้กรองอากาศ และไส้กรองของเกียร์อัตโนมัติ 
 



กรองโซล่า หรือ กรองน้ำมันดีเซล 
             จะทำหน้าที่กรองสิ่งสกปรกในน้ำมันดีเซลแล้ว ไส้กรองน้ำมันดีเซลยังทำหน้าที่ดักน้ำที่ปะปนมา
กับเชื้อเพลิงไส้กรองน้ำมันดีเซลมีอายุยืนยาวแต่พอถึงระยะเวลาก็ควรจะดูแลเปลี่ยนของใหม่ให้ทำงาน
เต็มประสิทธิภาพ
 
 
 
เพื่อให้เครื่องยนต์​มีการทำงานที่ปกติ สารพัดไส้กรองในรถยนต์ถูกออกแบบมาเพื่อกรองสิ่งสกปรกพวกฝุ่นผง ละอองอนูโลหะไม่ให้เข้าไปปะปนกับชิ้นส่วนต่างๆ ที่กำลั

อ่านข่าวต่อได้ที่: https://www.thairath.co.th/content/964030
เพื่อให้เครื่องยนต์​มีการทำงานที่ปกติ สารพัดไส้กรองในรถยนต์ถูกออกแบบมาเพื่อกรองสิ่งสกปรกพวกฝุ่นผง ละอองอนูโลหะไม่ให้เข้าไปปะปนกับชิ้นส่วนต่างๆ ที่กำลั

อ่านข่าวต่อได้ที่: https://www.thairath.co.th/content/964030
เพื่อให้เครื่องยนต์​มีการทำงานที่ปกติ สารพัดไส้กรองในรถยนต์ถูกออกแบบมาเพื่อกรองสิ่งสกปรกพวกฝุ่นผง ละอองอนูโลหะไม่ให้เข้าไปปะปนกับชิ้นส่วนต่างๆ ที่กำลั

อ่านข่าวต่อได้ที่: https://www.thairath.co.th/content/964030
เพื่อให้เครื่องยนต์​มีการทำงานที่ปกติ สารพัดไส้กรองในรถยนต์ถูกออกแบบมาเพื่อกรองสิ่งสกปรกพวกฝุ่นผง ละอองอนูโลหะไม่ให้เข้าไปปะปนกับชิ้นส่วนต่างๆ ที่กำลั

อ่านข่าวต่อได้ที่: https://www.thairath.co.th/content/964030
เพื่อให้เครื่องยนต์​มีการทำงานที่ปกติ สารพัดไส้กรองในรถยนต์ถูกออกแบบมาเพื่อกรองสิ่งสกปรกพวกฝุ่นผง ละอองอนูโลหะไม่ให้เข้าไปปะปนกับชิ้นส่วนต่างๆ ที่กำลั

อ่านข่าวต่อได้ที่: https://www.thairath.co.th/content/964030

วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2561

10 อันดับรถประหยัดน้ำมันที่สุดในไทยปี 2018

10 อันดับรถประหยัดน้ำมันที่สุดในไทยปี 2018
       ตั้งแต่เริ่มปี 2018 มานี้ราคาน้ำมันเริ่มปรับตัวสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เราคนใช้รถจึงต้องระมัดระวังในการใช้และประหยัดน้ำมันให้มากขึ้น  ซึ่งการที่เรามีรถที่ดีและมีประสิทธิภาพช่วยประหยัดน้ำมันได้ย่อมเป็นอีกทางที่ช่วยเซฟค่าใช้จ่ายให้เราได้ดี  วันนี้ใครสนใจที่จะซื้อรถใหม่คงต้องดูความคุ้มค่าในการใช้น้ำมันของรถที่เราจะนำมาใช้ในอนาคต วันนี้เรามาดูกันว่าปี 2018 มีรถที่มีอัตราการประหยัดน้ำมันสูงสุดมีอะไรกันบ้าง

            หลังจากที่กระทรวงอุตสาหกรรมได้มีการประกาศใช้ Eco Sticker กับรถใหม่ทุกคัน ซึ่งระบุอัตราสิ้นเปลืองตามมาตรฐานการทดสอบ UN R101 เราจึงได้รวบรวมเอา 10 อันดับรถยนต์ประหยัดน้ำมันที่สุดในไทยที่วางจำหน่ายจริงในปัจจุบัน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรถยนต์พลังงานไฮบริดเสียบปลั๊ก (Plug-in Hybrid) ที่ติดตั้งแบตเตอรี่ขนาดใหญ่กว่ารถยนต์ไฮบริดทั่วไป ทำให้สามารถขับขี่ด้วยไฟฟ้าได้เป็นระยะทางมากกว่า ส่งผลให้อัตราสิ้นเปลืองต่ำกว่าเครื่องยนต์สันดาปภายในปกติอย่างเห็นได้ชัด

 10 อันดับรถยนต์ประหยัดน้ำมันที่สุดในไทยปี 2018 มีดังนี้

อันดับที่ 1 อัตราสิ้นเปลือง: 55.6 กม./ลิตร
BMW 330e 2018
Volvo S90 T8 Twin Engine 2018
BMW 530e 2018
200


อันดับที่ 2 อัตราสิ้นเปลือง: 47.6 กม./ลิตร
BMW i8 2018
Volvo XC60 T8 Twin Engine 2018
202










อันดับที่ 3 อัตราสิ้นเปลือง: 45.5 กม./ลิตร
BMW 740Le xDrive 2018
0

อันดับที่ 4 อัตราสิ้นเปลือง: 43.5 กม./ลิตร
Volvo XC90 T8 Twin Engine AWD (Inscription) 2018
Porsche Panamera 4 E-Hybrid 2018
Mercedes-Benz C350e Estate 2018
1

อันดับที่ 5 อัตราสิ้นเปลือง: 40 กม./ลิตร
Mercedes-Benz E350e AMG Dynamic
Mercedes-Benz C350e
205

อันดับที่ 6 อัตราสิ้นเปลือง: 37 กม./ลิตร
Mercedes-Benz S500e 2018
208

อันดับที่ 7 อัตราสิ้นเปลือง: 29.4 กม./ลิตร
BMW X5 xDrive40e M Sport
aa

อันดับที่ 8 อัตราสิ้นเปลือง: 27 กม./ลิตร
BMW 320d 2018
BMW 320d GT 2018
cc

อันดับที่ 9 อัตราสิ้นเปลือง: 26.3 กม./ลิตร
Mazda2 SKYACTIV-D 2018
bb

อันดับที่ 10 อัตราสิ้นเปลือง: 24.4 กม./ลิตร
MINI Cooper D Hatch 2018
Toyota C-HR Hybrid
204

ขอบคุณ ข้อมูลดีๆ
https://auto.sanook.com

12 วิธีประหยัดน้ำมัน! ขับรถอย่างไรให้ประหยัดสุดๆ

 ประหยัดน้ำมันทำไง

ในช่วงเวลานี้ที่ข้าวของทุกอย่างแพงไปหมด ตั้งแต่ข้าวแกงยันอาหารตามสั่ง รวมทั้งราคาน้ำมันที่ไม่มีวี่แววว่าจะลดลง ทำให้ทางค่ายรถยนต์ต่างๆ หันออกมาผลิตรถยนต์ประหยัดน้ำมันกันอย่างมาก แต่อย่างไรก็ตามถึงจะขับรถประหยัดน้ำมันกัน แต่ถ้าหากไม่รู้วิธีขับรถยนต์ที่ถูกต้องก็จะสิ้นเปลืองค่าน้ำมันเชื้อเพลิงเทียบเท่ากับรถธรรมดาทั่วไปได้เหมือนกันค่ะ ซึ่งการขับรถที่ดี นอกจากมีสติและถูกกฎจราจรแล้ว ในยุคเศรษฐกิจฝืดเคืองแบบนี้ ยังต้องรู้จักวิธีขับรถยนต์ให้ประหยัดน้ำมัน เพราะนั่นหมายถึงการเซฟเงินในกระเป๋าได้แบบสุด ๆ ซึ่งวิธีที่เรานำมาฝาก รับรองว่าไม่ยากเกินกว่าที่จะทำตามกันได้แน่นอนคะและตอนนี้เรามาดูหลักการขับรถให้ประหยัดน้ำมันกันดีกว่า


1. การสตาร์ทเครื่องยนต์ เมื่อเครื่องยนต์ติดแล้ว ไม่จำเป็นต้องอุ่นเครื่องยนต์ขณะที่รถจอดอยู่กับที่ เพียงขับเคลื่อนรถเบาๆ 1-2 กิโลเมตรเครื่องยนต์จะอุ่นเองไม่จำเป็นต้องอุ่นเครื่องยนต์แล้วจอดอยู่กับที่ เพราะการติดเครื่องยนต์ทิ้งไว้ 2 นาที สิ้นเปลืองน้ำมัน 40 ซีซี. และหลังไฟเตือนต่าง ๆ บนหน้าปัดดับลงแล้ว คุณก็สามารถเคลื่อนรถออกได้อย่างช้าๆแล้วค่อยๆเร่งเครื่องยนต์ทีละน้อยโดยไม่ควรใช้รอบสูงตรงนี้ทำให้เครื่องยนต์อุ่นตัวได้เร็วขึ้น                                                        2. เบรกมีผลต่อการกินน้ำมันเชื้อเพลิง ทุกครั้งที่เราเบรก ความเร็วจะลดถ้าต้องการไปต่อ เราก็ต้องเพิ่มความเร็วหรือเร่งเครื่องขึ้น การมองไกลเพื่อประเมินสถานการณ์ข้างหน้า โดยการปล่อยคันเร่งให้เร็วขึ้นเพื่อปล่อยให้รถไหล ไม่ใช่เบรกเพื่อปล่อยคันเร่งต่อหรือปล่อยคันเร่งช้า แล้วแตะเบรกและเร่งต่อ อย่างหลังจะเปลืองน้ำมันมากกว่าค่ะ                              

3. หลีกเลี่ยงการเร่งคันเร่งทันทีทันใดบ่อยๆหรือการเรเครื่องยนต์บ่อยๆ  การเร่งเครื่องยนต์ขณะเกียร์ว่าง 10 ครั้งส่งผลให้รถจักรยานยนต์สิ้นเปลืองน้ำมัน 15 ซีซี., รถปิคอัพ รถตู้ รถแวน สิ้นเปลืองน้ำมัน100 ซีซี. และรถบรรทุก สิ้นเปลืองน้ำมัน 300 ซีซี.หรือเรียกว่า การย่ำคันเร่ง บางคนชอบเร่งแล้วปล่อย ทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันมาก    

4. ขับขี่ด้วยความเร็วคงที่ และไม่เกินป้ายจำกัดความเร็ว   อัตราความเร็วรถที่เหมาะสมที่จะประหยัดน้ำมันได้มากที่สุดคือ 60 - 80 ก.ม./ช.ม.
อัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันในการขับรถยนต์ที่ความเร็วต่างๆ กัน เปรียบเทียบได้ดังนี้
- ความเร็ว 95 ก.ม./ช.ม. จะสิ้นเปลืองน้ำมั่นกว่า 80 ก.ม./ช.ม. ประมาณ 15%
- ความเร็ว 110 ก.ม./ช.ม. จะสิ้นเปลืองน้ำมั่นกว่า 80 ก.ม./ช.ม. ประมาณ 29%
- ความเร็ว 100 ก.ม./ช.ม. จะสิ้นเปลืองน้ำมั่นกว่า 90 ก.ม./ช.ม. ประมาณ 10%
- ความเร็ว 110 ก.ม./ช.ม. จะสิ้นเปลืองน้ำมั่นกว่า 90 ก.ม./ช.ม. ประมาณ 25%                                                  
ตัวอย่างเช่น การวิ่งรถในยานชานเมืองที่ความเร็ว 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ถือว่าเป็นจุดที่ให้ความประหยัดมาก และควรเลี่ยงการเดินทางในช่วงเวลาฝนตก ซึ่งเราก็ทราบกันอยู่แล้วว่า หากฝนตกเมื่อไรการจราจรติดเมื่อนั้น เพราะธุรกิจบางอย่างสามารถติดต่อทางโทรศัพท์ อีเมล์ หรือวิธีอื่น ๆ ได้ โดยไม่จำเป็นต้องขับรถให้เปลืองน้ำมันด้วยค่ะ                                                                                                      
5. ลดการใช้แอร์รถในช่วงเช้า
หรือช่วงที่มีอากาศเย็น หากคุณปิดแอร์รถเป็นเวลา 30 นาที ก็สามารถจะประหยัดเชื้อเพลิงได้ถึง  10-15 % เลยทีเดียวค่ะ                           
6. ควรมีการวางแผนเดินทางที่ดี   หลีกเลี่ยงเส้นทาง ที่มีการจราจรติดขัด,ไม่ขับรถอ้อมจนเกินไป ไม่หลงทาง และไม่ขับเลยจากจุดหมายปลายทาง เท่านี้ก็ลดการสูญเสียน้ำมนโดยเปล่าประโยชน์ไปได้ มากแล้วค่ะ
7. ตรวจเช็คความดันลมยางอย่างสม่ำเสมอ   ยางที่มีลมอ่อน เกินไปจะทำให้รถกินน้ำมันมากขึ้น และยางมีอายุการใช้งานสั้น ในขณะเดียวกันหากลมยางแข็งเกินไป รถอาจเกาะถนนไม่ดี และยางก็มีอายุการใช้งานสั้นเช่นกัน ดังนั้นควรให้ความสำคัญของยางเป็นอย่างมากนะค่ะจะช่วยประหยัดน้ำมันได้มากเลยค่ะ
8. ตรวจเช็คเครื่องปรับอากาศอย่างสม่ำเสมอ  เช่น ปริมาณน้ำยาทำความเย็น ความสกปรกของคอยล์ร้อนคอยล์เย็น และไส้กรอง ฯลฯ  เพื่อให้ระบบทำงานมี ประสิทธิภาพพร้อมทั้งปรับอุณหภูมิให้พอเหมาะ เพราะถ้าปรับอุณหภูมิต่ำเกินไปคอมเพรสเซอร์ก็จะทำงานหนัก มากขึ้น เป็นภาระให้เครื่องยนต์มากขึ้น ส่งผลให้อัตราการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงก็มากขึ้นไปด้วยค่ะ
9. ดูแลรักษาเครื่องยนต์อย่างสม่ำเสมอ                                                                                                       ด้วยการตรวจเช็ค และเปลี่ยนอะไหล่ตามที่ผู้ผลิตกำหนด ความบกพร่องของเครื่องยนต์ นอกจากจะเป็นผลให้เครื่องยนต์มีอายุ การใช้งานสั้นลงแล้ว ก็อาจจะเป็นผลให้เครื่องยนต์กินน้ำมันมากขึ้นด้วย อาทิเช่น
- ไส้กรองอากาศตัน เพราะทำให้การเผาไหม้ของเครื่องยนต์ ไม่มีประสิทธิภาพ
- น้ำมันหล่อลื่นเก่า ขาดคุณสมบัติการหล่อลื่น ฯลฯ
- ระบบระบายความร้อนบกพร่อง ทำให้เครื่องยนต์ไม่ได้ทำงานที่อุณหภูมิที่ผู้ผลิตออกแบบไว้
- หัวเทียนเสื่อมสภาพ ทำให้เชื้อเพลิงถูกเผาไหม้ไม่สมบูรณ์                                                                                           
- รอบเครื่องยนต์เดินเบาสูงกว่าที่ผู้ผลิตกำหนดไว้ทำให้ เครื่องยนต์ทำงานมากขึ้นโดยไม่จำเป็น
- ปรับตั้งการจุดระเบิดไม่ถูกต้อง ซึ่งจะทำให้การเผาไหม้ ของเชื้อเพลิงไม่มีประสิทธิภาพ เป็นต้น ฯลฯ
10. บรรทุกสัมภาระเท่าที่จำเป็น  เพราะน้ำหนักรถมีผล ต่อการกินน้ำมันเชื้อเพลิงด้วยค่ะ ถ้าบรรทุกมากๆเกินความจำเป็นก็จะทำให้สิ้นเปลืองการใช้พลังงานเชื้อเพลิงของรถด้วยค่ะ                                                                                         
11.ควรดับเครื่องยนต์ขณะจอดรถคอย  เพราะการติดเครื่องยนต์จอดรถเป็นเวลา 5 นาที จะสิ้นเปลืองน้ำมัน 100 ซีซี. และถ้าติดเครื่องยนต์จอดรอนานกว่านั้นก็จะยิ่งสิ้นเปลืองน้ำมันยิ่งขึ้นอีกค่ะ
12. ยังคงมีปัจจัยอื่น ๆ  ซึ่งมีผลต่อการกินน้ำมันเชื้อเพลิงของรถยนต์ แต่เท่าที่ได้กล่าวก็ถือเป็นเรื่องหลักๆ ที่ทำได้โดยไม่ยากเย็นเลยนะค่ะ เพื่อที่จะช่วยในเรื่องการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงแถมยังช่วยในเรื่องการถนอมรถของเราให้มีอายุกานใช้งานได้ยาวนานยิ่งขึ้นด้วยค่ะ อีกทั้งยังเหลือเงินของเรานำไปทำอย่างอื่นได้อย่างสบายใจและเหลือเงินออมเข้ากระเป๋าอีกเยอะเลยค่ะ ได้ทั้งความปลอดภัยและได้ทั้งเงินขนาดนี้ใครๆก็ชอบ

 ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก
www.thairentecocar.com

วจเช็กสภาพเครื่องยนต์: ลำดับแรกเลย เราควรหมั่นตรวจสภาพเครื่องยนต์ และเปลี่ยนอะไหล่ตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ เพราะหากไม่เปลี่ยนจะทำให้อายุการใช้งานของร

อ่านข่าวต่อได้ที่: https://www.thairath.co.th/content/1177677
เคล็ด (ไม่ลับ) ประหยัดน้ำมันรถ มีอะไรบ้าง? ตามมาดูกันเลย.

อ่านข่าวต่อได้ที่: https://www.thairath.co.th/content/1177677
เคล็ด (ไม่ลับ) ประหยัดน้ำมันรถ มีอะไรบ้าง? ตามมาดูกันเลย...

อ่านข่าวต่อได้ที่: https://www.thairath.co.th/content/1177677
เคล็ด (ไม่ลับ) ประหยัดน้ำมันรถ มีอะไรบ้าง? ตามมาดูกันเลย...

อ่านข่าวต่อได้ที่: https://www.thairath.co.th/content/1177677